xs
xsm
sm
md
lg

ป่าไม้กาญจน์ดำเนินคดีขบวนการตัดไม้รายใหญ่ ไม่เข็ดหลังศาลสั่งรอลงอาญา 2 ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายอรรถพล เจริญชันษา ผอ.ส่วนยุทการป้องกันและปราบปราม กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ขวาสุด พร้อมเจ้าหน้าที่ที่ตำรวจและป่าไม้ตรวจสภาพไม่ที่ยึดมาจากผู้ต้องหา
กาญจนบุรี - ป่าไม้กาญจนบุรีดำเนินคดีขบวนการตัดไม้รายใหญ่ หลังศาลสั่งรอลงอาญา 2 ปี หวังให้เป็นคนดี แต่ไม่เข็ดหลาบแอบก่อเหตุซ้ำซาก จึงถูกดำเนินคดีถึงที่สุด

เมื่อเวลา 16.30 น.วันนี้ (23 มี.ค.) นายอรรถพล เจริญชันษา ผู้อำนวยการส่วนยุทธการด้านป้องกันและปราบปราม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายชาณุ วงศ์สวัสดิวัฒนา หัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรโยค นายเสนอ ลอยความสุข หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ .1 กรมป่าไม้ พ.อ.สุวัฒนา เย็นใจ ผู้อำนวยการ กกส.สทพ.นทพ. พ.ต.ท.เกียรติศักดิ์ รอดสาย สวป.สภ.ไทรโยค ร.ต.ท.สมมาศ เกตุแก้ว กองร้อย ตชด.ที่ 136 ร่วมกันสืบสวนขยายผลจับกุมขบวนการตัดไม้ทำลายป่ารายใหญ่ สอบประวัติพบผู้ต้องอยู่ระหว่างการรอลงอาญา 2 ปี แต่ไม่เข็ดแอบก่อเหตุซ้ำซาก จึงถูกดำเนินคดีถึงที่สุด

นายอรรถพล เจริญชันษา ผอ.ส่วนยุทธการป้องกันและปราบปราม กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้จับกุม นายโกมล ศรีสองห้อง และ นายนิวัฒน์ เหล็กอิ่ม และตรวจยึดไม้สักจำนวน 18 ท่อน ปริมาตร 15.78 ลูกบาศก์เมตร พร้อมรถยนต์บรรทุกสิบล้อ ทะเบียน 70-5998 กาญจนบุรี จำนวน 1 คัน เหตุเกิดที่บริเวณบ้านไทรโยคใหญ่ หมู่ 7 ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี

ต่อมาวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2554 เจ้าหน้าที่ป่าไม้สามารถตรวจยึดไม้สักได้อีกจำนวน 128 ท่อน ปริมาตร 52.94 ลูกบาศก์เมตร ที่ป่าบ้านแก่งประลอม หมู่ที่ 1 ต.ไทรโยค ซึ่งเป็นการขยายผลถึงที่มาของไม้ที่ตรวจยึดวันก่อน

โดยในวันนี้เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนทราบว่า วันเกิดเหตุวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554 มีรถบรรทุกไม้ผิดกฎหมายวิ่งออกมาจากป่าจำนวน 2 คัน แต่อีกคันไหวตัวหลบหนีการจับกุมไปได้และนำไม้ที่ลักลอบตัดไปซุกซ่อนในสวนหลังบ้านราษฎรใกล้ที่เกิดเหตุ การขยายผลในวันนี้ เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดไม้สักได้อีก 23 ท่อน ปริมาตร 11.82 ลูกบาศก์เมตร ที่บ้านบางตา หมู่ 1 ต.ไทรโยค ซึ่งที่เกิดเหตุที่มีการลักลอบตัดไม้อยู่บริเวณใกล้เคียงกัน ผู้กระทำผิดจึงน่าจะมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงเป็นขบวนการเดียวกัน

นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลสาระบบคดี พบว่า นายนิวัฒน์ เหล็กอิ่ม ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554 พร้อมรถยนต์บรรทุกสิบล้อ ทะเบียน 70-5998 กาญจนบุรี เคยถูกจับกุมในคดีความผิดเกี่ยวกับการลักลอบตัดไม้ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2553 พร้อม นายสัมฤทธิ์ ศักดิ์สงวน พร้อมตรวจยึดไม้แดง 30 ท่อน ปริมาตร 10.27 ลูกบาศก์เมตร โดยใช้รถยนต์บรรทุกสิบล้อคันเดียวกันไปกระทำความผิดที่บ้านบ้องตี้บน หมู่ที่ 1 ต.บ้องตี้ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี

โดยคดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2553 ซึ่งศาลจังหวัดกาญจนบุรี พิพากษาจำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกคนละ 7 ปี ปรับคนละ 1 แสนบาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 3 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 5 หมื่นบาท พิเคราะห์ตามรายงานสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ เห็นว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยต้องโทษมาก่อน

ประกอบกับมีเหตุผลทางด้านครอบครัว จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยทั้งสองกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ริบไม้ของกลาง ซึ่งต่อมาระยะเวลาห่างกันประมาณ 6 เดือน จำเลยก็ใช้รถยนต์บรรทุกสิบล้อคันเดียวกันมาก่อเหตุทำนองเดียวกันอีก

นายอรรถพล เจริญชันษา กล่าวว่า คดีเดิมเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2553 กรมป่าไม้เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินคดี คดีนี้พนักงานอัยการไม่ได้มีคำขอให้ริบรถยนต์ของกลาง ซึ่งใช้ในการกระทำผิดในข้อหาทำไม้ในป่าสงวนแห่งชาติ จำนวนถึง 30 ท่อน โดยให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 ศาลจึงพิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลางไม่ได้

มาถึงคดีนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดมอบให้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ เพื่อแสดงให้ทราบว่า ผู้กระทำผิดไม่เข็ดหลาบ ยังคงฝ่าฝืนกฎหมายทำไม้ในลักษณะเดียวกันอีก และมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงเป็นขบวนการที่ใหญ่โตขึ้น ส่วนรถยนต์ของกลางที่ยึดมาก็เป็นรถคันเดียวกันที่เคยใช้กระทำความผิดมาก่อน จึงจะมีความเห็นเสนอผ่านพนักงานสอบสวน และผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ที่จะให้พนักงานอัยการฟ้องขอให้ริบรถยนต์ของกลางเสียด้วย นอกเหนือจากการขอให้ลงโทษบทหนักกับผู้กระทำผิด เพื่อที่จะทำให้เป็นเยี่ยงอย่างมิให้กระทำผิดอีก ทั้งนี้ จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่พึ่งพิงอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

โดยเฉพาะการเกษตรกรรมและธุรกิจการท่องเที่ยว หากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถูกทำลายจนสิ้นสภาพ ย่อมจะเกิดผลกระทบต่อประชาชนอย่างมาก จึงขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายหันมาร่วมมือกันอนุรักษ์สิ่งเหล่านี้ไว้ นายอรรถพล เผย


กำลังโหลดความคิดเห็น