ศูนย์ข่าวศรีราชา - คนแปดริ้วเมินทุกมาตรการสวมหมวกนิรภัย ขับขี่รถ จยย.แบบไร้หมวกเต็มท้องถนน ทั้งผู้ขับขี่คนซ้อนท้าย ขณะบางครอบครัวยังขนกันมาแบบยกตลับ บรรทุกหอบหิ้วนั่งเรียงรายซ้อนกันมาทั้งครอบครัว ขณะวิน จยย.รับจ้าง โอดแค่มาตรการขั้นพื้นฐานในการขึ้นทะเบียนรถรับจ้างให้แก่ผู้ให้บริการยังฝืด
วันนี้ (3 มี.ค.54) เวลา 16.00 น. ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา หลังผ่านวันดีเดย์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ได้นำมาตรการเข้มงวดในการขับขี่และซ้อนท้ายรถจักยานยนต์ ที่เคยถูกนำออกมาบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2546 ออกมาปัดฝุ่นบังคับใช้ใหม่อีกครั้ง พร้อมทั้งยังจ้องลงดาบเล่นงานทางวินัย ต่อเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯเองที่ฝ่าฝืน ตามมติ ครม.อีกด้วย ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.54 นั้น สำหรับในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ยังคงมีผู้ฝ่าฝืนกฎจราจร โดยที่ยังไม่ยินยอมสวมหมวกนิรภัยกันเป็นจำนวนมากทั่วทั้งเมือง ซึ่งคาดว่ามีไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ที่ไม่ยินยอมสวมหมวกนิรภัย ตามมาตรการดังกล่าวแต่อย่างใด
ทั้งผู้ให้บริการขับขี่รถจักยานยนต์รับจ้างและผู้ซ้อนท้าย รวมทั้งผู้ที่ใช้รถจักยานยนต์ส่วนตัว ต่างก็ยังไม่ได้ให้ความสำคัญต่อมาตรการดังกล่าวแต่อย่างใด โดยหลายคนเชื่อว่าเป็นเพียงมาตรการไฟลามที่เคยถูกนำออกมาบังคับใช้แล้วก็เงียบหายไป โดยมีบางรายถึงกับพากันขึ้นซ้อน รถจักรยานยนต์กันแบบเรียงแถวเป็นตลับ ทั้งด้านหน้าด้านหลัง หรือยกพากันไปทั้งครอบครัว มากถึง 4-5 คน บนรถจักยานยนต์เพียงคันเดียว
ขณะที่นายสมพร ประทุมแก้ว อายุ 25 ปี ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 71 ม.6 ต.ผือ อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างที่บริเวณ วินหน้าร้านอาหารเพล์กราวด์ (สามแยก ถนนศรีโสธร ตัดกับ ถนนหน้าเมือง) แยกเข้าศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวนั้น ถือว่าดีเป็นการสร้างความปลอดภัยให้ทั้งคนขับขี่ และผู้ซ้อนท้าย
แต่ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเพียงมาตรการที่ถูกออกมาบังคับใช้อย่างจริงจังเพียงแค่ชั่วขณะ ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น อีกไม่นานก็คงจะกลับมาเหมือนเดิม เช่นมาตรการ ขึ้นทะเบียนวินรถจักยานยนต์รับจ้างทั่วประเทศ ซึ่งทุกวันนี้ยังคงมีวินผี และรถป้ายขาว ออกมาวิ่งรับจ้างส่งคนโดยสารอยู่เลย ทั้งที่ไม่มีเสื้อวินที่ถูกต้อง
ส่วนตนเองนั้นใช้เสื้อวินที่ถูกต้องโดยเป็นของน้าชายนำมาใช้ขับขี่ แต่ยังคงใช้รถป้ายขาววิ่งรับจ้างอยู่ เนื่องจากเคยเข้าไปขอจดทะเบียน ให้เป็นป้ายเหลืองต่อทางขนส่งจังหวัดแล้ว
แต่ทางขนส่งกลับบอกว่าให้ไปขอกับทางตำรวจก่อน แต่เมื่อเดินทางไปขอป้ายเหลืองกับตำรวจ ทางฝ่ายตำรวจก็บอกว่าให้ไปติดต่อกับขนส่ง โดยโยนกันไปมาทุกครั้ง จึงทำให้ขณะนี้ตนเองก็ยังขอใช้ป้ายเหลืองไม่ได้ โดยตนต้องทำมาหากิน และต้องการที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายในทุกด้าน เพื่อไม่ให้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจับนำไปเสียค่าปรับ ถึงครั้งละ 400 บาท โดยกล่าวหาว่าใช้รถให้บริการสาธารณะไม่ถูกประเภท โดยใช้รถป้ายขาววิ่งรับจ้าง ทั้งที่ตนนั้นต้องการที่จะขอป้ายเหลืองมานานหลายครั้งแล้ว