เชียงราย – สป.จีน เล่นบทพี่ใหญ่ ดึง 6 หัวเมืองลุ่มน้ำโขงตอนบน ร่วมทำ MOU พัฒนาเศรษฐกิจการค้าร่วมกันที่จิ่งหง 24 มีนาฯนี้ วางกรอบเบื้องต้นกระตุ้นการเดินทางทั้งคน-สินค้าผ่านเส้นทาง R3 ก่อนขยายความร่วมมือผ่านพม่าตอนเหนือ - เดียนเบียนฟูต่อ
นายสมเกียรติ ชื่นธีระวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.เชียงราย และนายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย เปิดเผยว่า หลังจากทางการเมืองเชียงรุ้งหรือจิ่งหง เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา เคยเดินทางมาลงนามความร่วมมือเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวกับสมาคมท่องเที่ยวในพื้นที่ จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ ไปเมื่อเร็วๆ นี้แล้วนั้น
ล่าสุดในวันที่ 24 มี.ค.นี้ เมืองเชียงรุ้งมีกำหนดลงนามใน MOU ในลักษณะเดียวกันอีกครั้ง แต่จะทำครั้งเดียว 6 เมืองลุ่มแม่น้ำโขงไปพร้อมๆ กัน โดยประกอบไปด้วยเมืองเชียงรุ้ง (จีน) เมืองเชียงรายและเชียงใหม่ (ไทย) เมืองห้วยทราย เมืองหลวงน้ำทาและเมืองหลวงพระบาง (สปป.ลาว) ณ เมืองเชียงรุ้ง
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ฝ่ายไทยที่จะเดินทางไปร่วมลงนามจะนำโดยนายสุรชัย ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์จังหวัด และตนเอง
สำหรับเนื้อหาของ MOU มีเนื้อหาคล้ายกับที่จีนเคยลงนามร่วมกับ จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ แต่จะมีความละเอียดกว่าและมุ่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคพร้อมกันทั้งทางด้านภาคการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน
เบื้องต้น MOU จะมุ่งให้เกิดผลสำเร็จบนเส้นทาง R3A เชื่อมไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ก่อน เพื่อลดอุปสรรคทั้งด้านการเข้าออกเมืองของนักท่องเที่ยวทุกชาติ การใช้รถบรรทุกขนส่งสินค้าที่ต้องผ่านแดนตามถนน "คุน-มั่น กงลู่" หรือคุนหมิง-กรุงเทพฯ หรือแม้กระทั่งเรื่องกำแพงภาษี ซึ่งยังเป็นปัญหาอยู่แม้จะเข้าสู่ยุคเอฟทีเอจีน-อาเซียน แล้วก็ตาม ฯลฯ
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่าตนเห็นว่ารายละเอียดของการลงนามใน MOU ทั้ง 6 เมืองดังกล่าวครอบคลุมประเด็นปัญหาและการพัฒนาทั้งภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนลุ่มแม่น้ำโขงทั้งหมดมากกว่า MOU ที่เคยทำกับเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาไปเมื่อเร็วๆ นี้เสียอีก เพราะครอบคลุมพื้นที่ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ตลอดแนวเส้นทางคมนาคม ตั้งแต่จีนตอนใต้ถึงภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะบนถนน R3A ซึ่งมีบทบาทในการค้าและการท่องเที่ยวมากขึ้น แต่ที่ผ่านมาไม่มีช่องทางหรือเจ้าภาพ ในการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาอุปสรรคร่วมกันอย่างชัดเจน
“การดึงทั้ง 6 เมืองที่เกี่ยวข้องเข้ามาลงนามร่วมกัน จึงจะทำให้เกิดการพัฒนาและดึงดูดการลงทุนไปสู่อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนนี้ได้เป็นมูลค่ามหาศาล”
นายสมเกียรติ บอกว่า MOU ครั้งนี้เป็นการนำร่องเท่านั้น เชื่อว่าหลังจากนี้จีนคงจะมุ่งไปลงทางถนน R3B เชื่อมจีนตอนใต้-พม่า-ไทย โดยอาจจะเชิญเมืองต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาลงนามกันอีก เช่น เชียงรุ้ง (จีน) เมืองลา เชียงตุงและท่าขี้เหล็ก (พม่า) เชียงรายและเชียงใหม่ (ไทย) ซึ่งจะทำให้เกิดเส้นทางท่องเที่ยวเป็นวงกลมในภูมิภาคนี้พอดี จากนั้น คงจะขยายต่อไปยังเวียดนาม เช่น เดียนเบียนฟู ฮานอย ฯลฯ อันจะทำให้อนุภูมิภาคนี้กลายเป็นเสมือนทวีปยุโรปหรืออียูที่เชื่อมโยงกันทั่วทวีปต่อไป
เขาบอกอีกว่า เชื่อว่าการพัฒนาและแก้ไขปัญหาอุปสรรคเกี่ยวกับการค้าและการท่องเที่ยวซึ่งพวกเราพบเห็นกันมาโดยตลอด จะคืบหน้า เพราะในครั้งนี้ประเทศจีนวางตัวเป็นเจ้าภาพหลักในการดึงตัวแทนจากเมืองต่าง ๆ ลุ่มน้ำโขงเข้ามาร่วม
โดยเฉพาะ จ.เชียงราย คงจะได้รับประโยชน์มหาศาล เพราะเป็นเมืองหน้าด่านของประเทศไทยซึ่งกำลังจะมีสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมกับเมืองห้วยทราย-R3A นอกจากนี้ที่ผ่านมาพบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาเยือนมณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้ ปีละกว่า 25 ล้านคน และมาเยือนสิบสองปันนาปีละกว่า 5-6 ล้านคน ส่วนใหญ่ต้องการเดินทางลงสู่ประเทศไทยต่อไปด้วย ซึ่งถนน R3A หรือ R3B ในอนาคตซึ่งจะผ่าน จ.เชียงราย ก็ถือเป็นเป้าหมายหลักของการเดินทางด้วย
ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.เชียงราย และนายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวในตอนท้ายว่า สำหรับกรณีการผลักดันเส้นทางการบินระหว่างท่าอากาศยานเชียงรายกับสนามบินนานาชาติสิบสองปันนา ซึ่งจะเริ่มบินตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้เป็นต้นไปนั้น ก็ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางที่จะได้รับประโยชน์จากการลงนามเอ็มโอยูในครั้งนี้ด้วย