พิจิตร - ตำรวจเมืองชาละวันทุกข์หนัก หลังผู้รับเหมาสร้างอาคารกองบังคับการตำรวจภูธรพิจิตร ทิ้งงาน เผยหากจะสานต่อต้องจ่ายเพิ่มอีก 2.8 ล้านบาท ล่าสุดเตรียมตั้งกองผ้าป่าแจกซองชาวบ้านระดมเงินแก้ปัญหา
วันนี้ (17 ธ.ค.) นายสุวิทย์ วัชโรทยางกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรได้เข้าตรวจราชการที่กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตรโดยมี พล.ต.ต.ชวลิต ชาญเวชช์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตรและนายตำรวจ รายงานผลการทำงานในรอบหนึ่งปีว่า ตำรวจจังหวัดพิจิตรสามารถลดคดีอาชญากรรมที่รุนแรงได้สำเร็จ แต่คดีที่เกิดเพิ่มขึ้นคือ คดียาเสพติด ตลอดปีที่ผ่านมาจับกุมผู้กระทำผิด 211 ราย ผู้ต้องหา 218 คน ยาบ้า 1,620 เม็ด ซึ่งเป็นผู้ค้ารายย่อยและผู้เสพ
นอกจากนี้ก็พบว่าคนพิจิตรไม่ใส่หมวกกันน็อก จนสามารถจับกุมได้มากกว่า 5,000 ราย จึงจะได้รณรงค์ปลูกจิตสำนึกต่อไปและจับกุมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการกวดขันวินัยจราจรควบคู่ไปด้วย
ในโอกาสนี้ พล.ต.ต.เชาวลิต ยังได้แจ้งกับผู้ว่าฯ พิจิตรว่า ที่ทำการกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตร ใช้มานานมากกว่า 50-60 ปี มีสภาพขนาดเล็ก อีกทั้งแออัดและคับแคบ ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้อนุมัติและประมาณการ รวมถึงให้แบบการก่อสร้างอาคารที่ทำการหลังใหม่ ซึ่งเป็นอาคาร 3 ชั้นราคาประมาณ 20 ล้านบาท แต่มีงบประมาณจริงๆ 15 ล้านบาท
จากนั้นก็มีบริษัท ศิริปัญญา อินเตอร์เนชันแนลกรุ๊ป จำกัด ที่มีนางสุนิสา ศิริไชยบูลย์วัฒน์ เป็นกรรมการผู้จัดการ สำนักงานตั้งอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี เสนอราคา 15 ล้านบาท และได้เป็นผู้รับจ้างงานก่อสร้างอาคารหลังดังกล่าว ตามสัญญาจ้างที่ 11/2550 ลงวันที่ 23 สิงหาคม 2550 และเริ่มลงมือก่อสร้างตามสัญญาระยะเวลา 360 วัน นับตั้งแต่ 7 ก.ย.50 - 1 ก.ย. 51 และขยายเวลาอีก 180 วันถึง 28 ก.พ.52 ซึ่งในช่วงนั้นผู้รับเหมาก็ประสบสภาวะเศรษฐกิจขาดเงินหมุนเวียน-ราคาเหล็กและวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น จนทำผู้รับเหมาขาดทุนและทำท่าจะทิ้งงานหลายครั้ง
จนในที่สุด พ.ต.อ.จรวย ผลประเสริฐ รองผู้บังคับบัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตร ซึ่งมีความสนิทสนมกับร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ก็ใช้เครดิตตัวเองไปค้ำประกันขอให้ร้านค้าขายสินค้าวัสดุก่อสร้างขายให้ผู้รับเหมาในราคาต้นทุนและให้เครดิตนำวัสดุก่อสร้างมาทำงานก่อน คิดเป็นมูลค่าเกือบ 2 ล้านบาท เพื่อให้งานแล้วเสร็จ แต่สุดท้าย พ.ต.อ.จรวย ก็ต้องรับเคราะห์ เพราะผู้รับเหมาทนขาดทุนไม่ไหวเก็บอุปกรณ์และพาคนงานหนีไป ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี2552 จนถูกปรับเรื่อยมาและทิ้งงานการก่อสร้าง จนอาคารกลายเป็นที่อยู่ของนกพิราบอยู่ในขณะนี้ จึงขอให้ ผู้ว่าฯพิจิตร หาทางช่วยเหลืออีกทาง
ด้าน ผู้ว่าฯ พิจิตร กล่าวว่า งบประมาณ ปี 53 จัดสรรให้ตำรวจพิจิตร 4 ล้านบาท แต่ 2 ล้านบาท จะเอาไปติดกล้องวงจรปิด ซึ่งแท้จริงน่าจะเป็นความรับผิดชอบของเทศบาลเมืองพิจิตร, ทม.บางมูลนาก, ทม.ตะพานหิน และท้องถิ่น เสียมากกว่า จึงทำให้งบของตำรวจใน 12 อำเภอ หรือแค่ 2 ล้านบาท จึงไม่สามารถช่วยเหลือการก่อสร้างอาคารหลังดังกล่าวได้ จนอาจกลายเป็นอนุสาวรีย์รกร้างและเป็นที่อยู่ของนกพิราบต่อไป
ทั้งนี้ นายตำรวจระดับสูงของพิจิตร หลายคนบอกว่า ถ้าไม่มีใครช่วยจริงๆ ก็อาจตั้งกองผ้าป่าให้ชาวบ้านช่วยตำรวจระดมทุน เพื่อนำมาใช้ก่อสร้างอาคารดังกล่าวให้แล้วเสร็จต่อไป