ตราด - เรือประมงไทยหยุดทำประมงน่านน้ำกัมพูชา หลังมีค่าตั๋วสูงกว่า 1 แสนบาทต่อลำ เผย ไม่ปลอดภัยทำประมงน่านน้ำกัมพูชา ขณะที่เรือประมงแย่งหาปลาในอ่าวใหญ่มากขึ้น
วันนี้ (24 พ.ย.) ที่ท่าเรือเฉลิมพล ต.แหลมงอบ อ.แหลมงอบ จ.ตราด ว่าที่ ร.ต.กิตติชัย สุรฤทธิ์ เจ้าของเรือประมง อ.แหลมงอบ จ.ตราด เปิดเผยว่า ผลกระทบต่อเรือประมงของ จ. ตราด จากการการประกาศปิดน่านน้ำของประเทศกัมพูชา การปิดน่านน้ำของทางกัมพูชา เพื่อปรับปรุงค่าตั๋วเรือซึ่งส่งผลกระทบต่อเรือประมงของฝั่งไทย เพราะไม่สามารถเข้าทำประมงที่น่านน้ำของทางกัมพูชาได้
ทำให้เรือประมงหันมาทำการประมงที่ฝั่งไทยเพิ่มมากขึ้น จนต้องแย่งกันจับปลา ส่วนตนเองจะนำเรือออกหาปลาเฉพาะในฝั่งไทยเท่านั้น ไม่ได้เข้าทางน่านน้ำกัมพูชา เพราะต้องเสียค่าตั๋วเรือและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในราคาที่สูง ซึ่งก่อนที่จะมีการเปลี่ยนผู้ว่าราชการ จ.เกาะกง คนใหม่ ราคาตั๋วในการทำประมงในน่านน้ำกัมพูชาอยู่ที่ลำละ 60,000 บาทต่อลำ หลังจากมีการเปลี่ยนผู้ว่าราชการ จ.เกาะกง คนใหม่แล้ว ราคาเพิ่มขึ้นจาก 60,000 บาท เป็น 80,000 บาท ขณะที่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ยังต้องจ่ายกับหน่วยงานอื่นใน จ.เกาะกง อีก ซึ่งถ้ารวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว 1 ลำ จะต้องจ่ายเงินกับทางกัมพูชา กว่า 100,000 ต่อลำ
ว่าที่ ร.ต.กิตติชัย สุรฤทธิ์ กล่าวว่า การเข้าไปทำประมงในน่านน้ำกัมพูชา ที่มีค่าตั๋วที่สูงมาก แต่ก็คุ้มการออกประมงในแต่ครั้ง เนื่องจากมีปลาขนาดใหญ่และมีจำนวนปลาที่มากกว่า บริเวณอ่าวใหญ่มาก ขณะที่สถานการณ์ขณะนี้มีการปิดน่านน้ำของทางกัมพูชา ทำให้เรือต้องหยุดทำการประมงไป เพราะกลัวเรื่องความปลอดภัย และเรือบางลำที่สามารถเข้าไปได้โดยการเสียค่าตั๋วให้ทางกัมพูชา โดยจะมีนายหน้าที่ติดต่อกับทางกัมพูชาเข้ามาติดต่อเรือประมงโดยจดหมายเลขเรือ และจะมีการตรวจสอบหมายเลขเรือที่เข้าไป หากไม่มีหมายเลขที่นายหน้าได้จดไว้ก็จะไม่ได้เข้าไปยังน่านน้ำกัมพูชา แต่มีเรือบางลำที่ลักลอบเข้าไปอย่างผิดกฎหมาย
