วันนี้ ( 22 พ.ย.52) เวลา 14.00 น. ร.ต.ท.จรัญ ดลโสภณ พนักงานสอบสวน สภ.สนามชัยเขต พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุรพล วิรัตน์โยสินทร์ รักษาราชการแทน ผบก. ภ.จว.ฉะเชิงเทรา พ.ต.ท.ประวัติ แพพ่วง รอง ผกก. สภ.สนามชัยเขต พ.ต.ท.สมบูรณ์ อุดม สวป. สภ.สนามชัยเขต พ.ต.ต.จักรกรี วงศ์จินดา สารวัตรสืบสวน สภ.สนามชัยเขต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่วิทยาการ พิสูจน์หลักฐาน จากตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา และแพทย์เวรจาก รพ.สนามชัยเขต ได้เข้าตรวจสอบ ชันสูตรพลิกศพ ด.ญ.นันทิชา มูลสูตร หรือน้องเฟิร์น อายุ 11 ขวบ นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนบ้านท่าซุง หลังรับแจ้งจากคนงานในไร่มันสำปะหลังว่า พบศพเด็กสาวถูกฆ่ารัดคอเสียชีวิต
ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณกลางไร่มันสำปะหลัง ห่างจากด้านหลังของวัดท่าซุงเก่า พื้นที่ ม.3 ต.ลาดกระทิง อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ประมาณ 300 เมตร สภาพศพถูกฆ่ารัดคอด้วยเชือกหูรูดกางเกงสีขาวอย่างแน่นหนา แบบขันชะเนาะติดอยู่กับโคนต้นมันสำปะหลัง สวมชุดนอนสีฟ้าลายดอกไม้ นอนเสียชีวิตในลักษณะตะแคงข้างคว่ำหน้าแบบติดกับคันดินร่องมัน ใต้ศพมีผ้าขนหนูผืนใหญ่ และรองเท้าหนังแบบสวมสีดำตกอยู่หนึ่งคู่ บริเวณที่เกิดเหตุพบรอยเท้าการเหยียบย่ำของคนร้าย และร่องรอยของการดิ้นรนแบบทุรนทุลายต่อสู้ของเหยื่อ
จากการชันสูตรของเจ้าหน้าที่ พบว่าเหยื่อถูกคนร้ายลงมือข่มขืนล่วงละเมิดทางเพศ จนมีเลือดไหลออกมาจากภายในอวัยวะเพศ เปื้อนติดอยู่ที่บริเวณขาหนีบ รวมทั้งยังติดแห้งกังอยู่ที่เป้ากางเกงชุดนอนสีฟ้าที่ผู้ตายสวมใส่อยู่ นอกจากนี้ ตามแขนขายังมีร่องรอยของการดิ้นรนต่อสู้จนมีร่องรอยถลอก ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถเก็บเศษเส้นผม และขนเพชรของคนร้ายไว้ได้ จากในที่เกิดเหตุจำนวนหลายเส้น ทั้งที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้า และที่บริเวณภายในอวัยวะเพศของเหยื่อ โดยคาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่เกิน 24 ชม.
สอบสวน นายมานพ มูลสูตร อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 418 ม.6 ต.ลาดกระทิง ซึ่งเป็นบิดา ให้การว่า ด.ญ.นันทิชา ได้หายตัวไปจากบ้าน ตั้งแต่เมื่อคืนวันศุกร์ ที่ 20 พ.ย.52 ที่ผ่านมา หลังจากได้พบกันครั้งสุดท้ายอยู่ที่บ้าน เมื่อเวลา 20.00 น. ก่อนที่ตนจะออกไปรับจ้างกรีดยาง ร่วมกับพี่สาว ยังต่างหมู่บ้าน (บ้าน กม.7) และได้เดินทางกลับมายังบ้านพักครั้งเมื่อเวลา 04.00 น. เพื่อจะมารับบุตรสาวไปส่งยังที่ โรงเรียนวัดท่าซุง ในตอนใกล้รุ่งสางของวันที่ 21 พ.ย.52 เพื่อที่จะเดินทางไปประกวดการแสดงตีกลองยาวของนักเรียน ยังในที่ จ.ชลบุรี แต่ไม่พบตัวบุตรสาว
จากนั้นจึงได้เดินทางเข้าไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าบุตรสาวได้หายตัวไป เมื่อเวลา 06.00 น. ของวันเดียวกัน พร้อมทั้งยังได้แจ้งทั้งผู้ใหญ่บ้าน และกำนันให้ช่วยกันออกมาช่วยค้นหาแต่ก็ไร้วี่แววที่จะพบตัว จนมาพบอีกครั้ง หลังจากมีคนงานในไร่มัน จะเข้ามาถางไร่เพื่อขุดหัวมัน ยังที่เกิดเหตุ เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ จึงมาพบว่าบุตรสาวของตนได้เสียชีวิตแล้ว ยังในที่เกิดเหตุ
สำหรับสาเหตุที่ ต้องปล่อยให้บุตรสาวอยู่บ้านเพียงลำพังคนเดียวนั้น เนื่องจากตนและอดีตภรรยา คือ นางพัชรินทร์ แสงจันทร์ อายุ 29 ปี ได้เลิกรากันไป ตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน โดยที่ภรรยาเก่าไปมีสามีใหม่ ส่วนตนนั้นได้มาอยู่กินกับ น.ส.อารียา ศรีเพชร อายุ 20 ปี ยังที่บ้านหลังปัจจุบัน เลขที่ 347 ม.3 ต.ลาดกระทิง ซึ่งในวันเกิดเหตุภรรยาใหม่ได้เดินทางไปทำงานยังโรงงานแห่งหนึ่ง (ฮิตาชิ) ในย่านนิคมอุตสาหกรรม 304 กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี เพื่อเข้ากะกลางคืน ส่วนตนนั้นได้เดินทางไปรับจ้างกรีดยาง จึงได้ปล่อยให้บุตรสาวอยู่บ้านแต่เพียงลำพัง ซึ่งหากภรรยาใหม่เข้ากะกลางวัน และตนไม่ได้ไปกีดยางจึงจะได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้า 3 คน
ด้าน นางบังอร เจริญแพทย์ อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 77/5 ม.9 กำนันตำบลลาดกระทิง กล่าวว่า หลังได้รับแจ้งเหตุจากผู้ใหญ่บ้านในวันที่เด็กหายตัวไป จึงได้พากันช่วยออกค้นหาอยู่ตลอดทั้งวัน แต่ก็ไม่พบ ที่ผ่านมาในตำบล และหมู่บ้านบ้านแห่งนี้ ไม่เคยเกิดเหตุร้ายแรงสะเทือนขวัญ ฆ่าข่มขืนเด็กสาวอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้มาก่อน ซึ่งเด็กคนนี้เป็นเด็กนิสัยดี หน้าตาดี ขยัน และร่วมกับทางโรงเรียนทำกิจกรรมสร้างชื่อเสียงมาโดยตลอด จนเป็นที่รักใคร่ของครู อาจารย์ในโรงเรียน จึงต้องการอยากให้ตำรวจติดตามจับกุมตัวคนร้ายมาลงโทษให้ได้โดยไว เนื่องจากคนร้ายอาจเป็นภัยมืดต่อสังคม และคนในหมู่บ้านต่อไป
ขณะที่ นางวิรัตน์ ช่วยงาน อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 318 ม.6 ต.ลาดกระทิง ชาวบ้านซึ่งเดินทางมามุงดูยังที่เกิดเหตุ กล่าวว่า ตนอยู่คนละหมู่บ้านกัน แต่ก็ทราบว่าเด็กคนนี้นิสัยดี ขยันช่วยงานโรงเรียน และยังเป็นดาวเด่น ร่วมทำกิจกรรมการแสดงต่างๆ ของโรงเรียน ทั้งฟ้อนรำ การแสดงตีกลองยาว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีชื่อเสียงของโรงเรียน และเป็นเด็กหน้าตาดี จึงทำให้คนร้ายหมายที่จะเข้ามาข่มขืนทำร้าย เพราะทราบว่าอยู่บ้านแต่เพียงลำพังคนเดียว และบ้านยังปลูกสร้างด้วยไม้ยกพื้น ฝาประตูหน้าต่างเป็นสังกะสี ไม่มีห้องกั้น อยู่เป็นหลังสุดท้ายของหมู่บ้าน ห่างออกมาจากในตัวชุมชน จึงค่อนข้างเปลี่ยวในเวลากลางคืน คนร้ายจึงเข้ามาลงมือก่อเหตุฉุดลากไปได้ง่าย
ด้าน พ.ต.อ.สุรพล กล่าวว่า จากการตรวจชันสูตรในที่เกิดเหตุ เชื่อว่าคนร้ายเป็นคนในพื้นที่ และน่าจะลงมือเพียงลำพัง หรือไม่เกิน 2 คน โดยอาจเป็นคนใกล้ชิด รู้จักคุ้นเคยกับครอบครัวนี้เป็นอย่างดี จึงได้ลงมือฆ่าเพื่อปิดปาก เพราะรู้ถึงความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยทางเจ้าหน้าที่ได้พบหลักฐานหลายอย่างตกอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากหวั่นเกรงว่าคนร้ายจะไหวตัวทัน
สำหรับผู้เสียชีวิตนั้น คาดว่าถูกลงมือฆ่าทิ้งมาแล้วไม่นานมากนัก เนื่องจากขณะที่มีคนมาพบศพ ร่างของผู้เสียชีวิตยังอยู่ในสภาพอบอุ่นอยู่ ซึ่งถือว่าคดีนี้เป็นคดีฆาตกรรมข่มขืน สะเทือนขวัญเป็นอย่างมาก โดยจะส่งศพไปชันสูตรโดยละเอียดอีกครั้งยังสถาบันนิติเวช เพื่อหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อไป