ฉะเชิงเทรา - ตำรวจแปดริ้วเร่งกวาดล้างจับแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง หลังพบเพื่อนบ้านชาวกัมพูชาแอบลักลอบหอบลูกจูงหลานมาทำงานหมกอยู่ในพื้นที่สวนป่ายูคาฯ ได้เฉียดร้อยชีวิต ขณะแรงงานเขมรเผยเดินผ่านด่านเข้าออกเมืองไทยได้ฉลุย อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องมีหนังสือเดินทางผ่านเข้าออก จนนับครั้งไม่ถ้วน
วันนี้ (6 ต.ค.) เวลา 12.10 น. ร.ต.ท.วันชัย ประถม รักษาการหัวหน้าชุด หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ นปพ. เข้าทำการปิดล้อมจับกุมแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาจากภายในบริเวณสวนป่ายูคาลิปตัส พื้นที่บ้านนายาว ม.21 ต.ท่ากระดาน อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งได้เข้ามากลางเต้นท์เป็นที่พักอาศัยหลับนอน และทำงานรับจ้างตัดไม้ยูคาฯ
จนสามารถจับกุมแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองได้จำนวนมาก มีทั้งชายและหญิง รวมกว่า 79 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีเด็กเล็กมากถึง 10 คน พร้อมได้นำตัวส่ง พ.ต.ท.ชัย จรรยาวนิชย์ รอง ผกก. สภ.สนามชัยเขต และทำหน้าที่พนักงานสอบสวนเวร สภ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
โดย ร.ต.ท.วันชัย กล่าวว่า หลังได้รับคำสั่งจาก พ.ต.อ.สุรพล วิรัตน์โยสินทร์ รอง ผบก. ภ.จว.ฉะเชิงเทรา (รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจภูธรฉะเชิงเทรา) และ พ.ต.อ.ธนู พวงมณี ผกก.สส. ภ.จว.ฉะเชิงเทรา ให้เร่งทำการกวาดล้างจับกุมแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองในเขตพื้นที่ จึงได้นำกำลังเข้าทำการปิดล้อมจับกุมแรงงานต่างด้าว ที่แอบลักลอบเข้ามาพักอาศัย และทำงานโดยผิดกฎหมายดังกล่าว มาดำเนินคดีตามกฎหมาย และผลักดันออกนอกประเทศต่อไป
ขณะที่นางหม่อม อายุ 39 ปี ชาวจังหวัดศรีโสภณ ประเทศกัมพูชา ซึ่งพูดภาษาไทยได้ กล่าวว่า เดิมทีตนเองนั้นเป็นคนไทย ภูมิลำเนาอยู่ที่โคราช (จ.นครราชสีมา) แต่ผู้เป็นบิดา-มารดา คือ นายงน และนางนาง ได้พาครอบครัวย้ายถิ่นฐานไปอาศัยอยู่ในประเทศกัมพูชา ตั้งแต่สมัยที่ตนยังเป็นเด็กเล็กอยู่ จึงได้กลายเป็นคนเขมรพร้อมกับพี่น้องอีก 4 คน
แต่ขณะนี้ที่ประเทศกัมพูชาไม่มีอาชีพอะไรทำมาหากิน นอกจากทำนา จึงทำให้มีรายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัว จึงได้หอบหิ้วพาลูกสาว วัย 15 ปี 13 ปี และ 10 ปี รวม 3 คน ซื้อตั๋วผ่านแดนชั่วคราว เดินทางผ่านด่านชายแดนที่ จ.สระแก้ว และเดินลัดเลาะเข้ามาตามชายป่า เพื่อหลบเข้ามาในเมือง เดินทางมาหางานทำในประเทศไทย ซึ่งมีรายได้เป็นค่าแรงงาน วันละ 150 บาท
โดยในการเดินทางเข้ามานั้น จะมีนายหน้าซึ่งเป็นชาวกัมพูชาด้วยกัน ไปรับมาทำงานในสวนป่ายูคาฯ ของคนไทย โดยพักกางเต้นท์นอนอาศัยกันอยู่ในป่ายูคาฯ แต่ไม่ทราบว่าคนไทยที่เป็นเจ้าของนั้นเป็นใคร เนื่องจากเวลารับเงินค่าจ้างก็รับผ่านทางนายหน้าชาวกัมพูชาด้วยกันเอง ต่อมาอีกทีหนึ่ง ซึ่งการเดินทางเข้าออกเมืองไทยนั้นไม่ยาก “ฉันก็ซื้อตั๋วเดินผ่านด่านเข้ามาตามปกติ” ก่อนที่จะเดินลัดเลาะหลบเข้ามาตามชายป่า และมารวมตัวกันเป็นกลุ่มอีกครั้ง เพื่อรอนายหน้ามารับเข้ามาทำงานในฝั่งไทย ที่ผ่านมาได้เดินทางเข้าออกในลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ในครั้งนี้เพิ่งเดินทางเข้ามาทำงานได้เพียง 11 วันเท่านั้น จึงมาถูกจับกุม ส่วนพี่ชายอีกคนได้เข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ แล้ว