ศูนย์ข่าวขอนแก่น-รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น คุมเข้มร้านจำหน่ายประทัด หลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญประทัดระเบิดใส่มือเด็ก เผยกำชับสายตรวจลงพื้นที่ไล่กรวดผู้ประกอบการเถื่อน หากฝ่าฝืนจับแน่
บ่ายวันที่ 2 ต.ค.52 ตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น ร่วมกับโรงพยาบาลขอนแก่น จัดประชุมเสวนาเพื่อหาทางควบคุมและป้องกันการบาดเจ็บจากการเล่นดอกไม้ไฟในกลุ่มเด็ก ที่ห้องประชุม จำลอง มุ่งการดี โรงพยาบาลขอนแก่น พ.ต.อ.คัชชา ธาตุศาสตร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น เปิดเผยถึงการจัดประชุมเพื่อร่วมมือกันในการควบคุมและป้องกันเด็หเล่นดอกไม้ไฟจนเกิดเหตุบาดเจ็บพิการว่า
ในช่วงเทศกาลออกพรรษาและลอยกระทงของทุกปี ประเทศไทยต้องประสบปัญหาเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นได้รับบาดเจ็บจากการเล่นประทัดและดอกไม้ไฟทุกปี โดยข้อมูลจากโรงพยาบาลขอนแก่น ในช่วงเดือนกันยายน – เดือนพฤศจิกายน 2551 พบว่าทั่วประเทศมีผู้ป่วยเด็กเกือบ 200 รายบาดเจ็บที่มือและตาจากการเล่นประทัดทั้งสิ้น 60 ราย ซึ่งมีผลทำให้ผู้ป่วยเกิดความพิการถึงร้อยละ 40 - 60
ในช่วงปี 2552 ข้อมูลล่าสุดมีผู้ป่วยจากประทัด เพียงแค่ถึงวันที่ 1 ตุลาคม มีผู้บาดเจ็บแล้ว 12 รายที่ต้องเข้าทำการรักษาในโรงพยาบาลขอนแก่น ทั้งหมดเป็นเด็ก และทุกรายต้องสูญเสียนิ้วไปอย่างน้อย 1 นิ้ว ซึ่งผลที่เกิดตามมาคือความพิการจากการสูญเสีย ส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกาย จิตใจ การดำเนินชีวิต และการสูญเสียโอกาสที่ดีในการประกอบอาชีพของเด็กในอนาคต สาเหตุหลักมาจากความประมาณความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และความอยากรู้อยากเห็นตามพัฒนาการของเด็ก
ทั้งนี้ตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น มองว่าอุบัติเหตุที่เกิดกับเด็กเป็นเพียงปลายเหตุ ต้นเหตุคือผู้ประกอบการร้านค้า ที่ขายประทัด ส่วนใหญ่ไม่ได้รับใบอนุญาตขาย , บางรายยังไม่มีการจัดเก็บที่ถูกวิธี ตำรวจภูธรภาค 4 จึงมีแผนเข้มงวดมากขึ้น โดยได้สั่งให้สายตรวจลงพื้นที่ตรวจสอบการจัดเก็บและการขอใบอนุญาตของแต่ละร้านในทุกตำบลในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ เข้าถึงทุกพื้นที่ พร้อมกับการทำประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อวิทยุเพื่อสื่อถึงผู้ประกอบการให้ทราบถึงโทษของการฝ่าฝืน
พ.ต.อ.คัชชา กล่าวอีกว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนรวมทั้งผู้ผู้ปกครอง มีส่วนในการทำให้เกิดปัญหานี้ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมปัญหาไม่ให้เกิดซ้ำขึ้นได้ หากหน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องจะร่วมมือในเคลื่อนไหวผลักดันทางสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านพฤติกรรมของเด็กเยาวชน ผู้ใหญ่รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายอย่างรัดกุมมากขึ้น.