ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- “สมศักดิ์” แกนนำ พธม.และ หน.พรรค ก.ม.ม. ตอกรัฐบาล “นายกฯมาร์ค” ขาดความกล้าหาญแก้ปัญหา“ตำรวจ” งง “พัชรวาท” บอกลา 10 วันแต่ดันกลับมาแล้ว ชี้เป็นการต่อสู้กันระหว่างอำนาจเก่าในรัฐตำรวจกับรัฐบาลที่อ่อนแอ ซัดวางแฉยไม่จัดการตอ-ไส้ศึกให้เกิดความโปร่งใสในคดีลอบสังหาร “สนธิ” และปล่อยให้การล่ารายชื่อถวายฎีกาช่วย “แม้ว” บานปลาย ชี้ถือเป็นวิกฤตที่สุดความอ่อนแอของรัฐบาลไทยที่ไม่ปรากฏมาก่อน แม้แต่ “นักโทษชาย” หนีคดีอาญาแผ่นดินยังเหิมเกริมประกาศจะกลับมาเป็นนายกฯ
วันนี้ (10 ส.ค.) นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) และ 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดศูนย์ประสานงานพรรคการเมืองใหม่จังหวัดนครราชสีมา ถึงกรณีปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กับตำรวจในขณะนี้ว่า หากรัฐบาลมีความกล้าหาญก็จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น เพราะสามารถแก้ไขได้ หากดูกฎหมายรัฐธรรมนูญนายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการได้อยู่แล้วแต่ขาดความกล้าหาญ ดูจากการแบ่งอำนาจหน้าที่กันก็มีปัญหามาตั้งแต่ต้น เช่น รองนายกฯ รับผิดชอบอะไร หรือนายกฯ รับผิดชอบอะไร โดยเฉพาะกรณีคดีลอบสังหารของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ และผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ “ เอเอสทีวีผู้จัดการ” ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า สับสน
ตอนนี้ก็เช่นกัน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) บอกว่าลาไปปฏิบัติราชการที่ประเทศจีน 10 วัน แต่วันนี้ก็เดินทางกลับมาแล้วตกลงเป็นอย่างไรกันแน่ สิ่งเหล่านี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า ถ้าการเมืองไม่เข้มแข็งมั่นคงก็จะทำให้ระบบมันรวน ทำให้เกิดปัญหาขึ้น โดยเฉพาะกรณีของตำรวจที่เกิดปัญหาย้ายข้ามหัวกันไปมา เหล่านี้ถือเป็นการต่อสู้กันระหว่างอำนาจเก่าที่อยู่ใน “รัฐตำรวจ” กับรัฐบาลที่ขาดความกล้าหาญในการแก้ไขปัญหา เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะตำรวจเป็นกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นก่อนจะไปถึงศาล ฉะนั้นหากกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นไม่นิ่งประชาชนจะได้รับความเป็นธรรมก็ยากมาก
“ขนาดถึงขั้นระดับ พล.ต.อ.หัวหน้าชุดสืบสวนยังยอมรับว่าคดีของนายสนธิมีตอ มีตำรวจเป็นไส้ศึก สิ่งเหล่านี้ต้องมีการสอบสวนว่า ตอเป็นใคร และใครเป็นไส้ศึก รัฐบาลมีหน้าที่ต้องดำเนินการเรื่องนี้ให้เกิดความโปร่งใส ดำเนินการกับคนที่เป็นตอและเป็นไส้ศึก ไม่ใช่สิ่งที่พูดเขาขึ้นมาแล้วปล่อยเอาไว้” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์กล่าวว่า ส่วนกรณีการล่ารายชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนักโทษชายหนีคดีอาญาแผ่นดิน นั้น นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นความล่าช้าของรัฐบาล เพราะรัฐบาลมีสื่ออยู่ในมือ โทรทัศน์ของรัฐทุกช่องควรจะต้องใช้สื่อสารให้คนเข้าใจ ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดขบวนการปลุกระดมกระทำการในสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วว่าไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ชอบด้วยขั้นตอนประเพณีปฏิบัติ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงที่มีผลกระทบต่อสถาบันเบื้องสูงที่ทุกคนเคารพ
ดังนั้น หากรัฐบาลเร่งดำเนินการให้ทันต่อเวลาตั้งแต่ต้น ก็ไม่บานปลาย เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ปล่อยให้นักโทษชายทักษิณ “โฟนอิน” เข้ามาและทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเพราะคนที่กำลังหนีคำพิพากษาของศาลยังแสดงตัวโฟนอินอยู่ได้ ฝ่ายความมั่นคงไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย อันนี้ถือเป็นการอ่อนแอของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ที่จะต้องจัดการ ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ถ้าปล่อยปละละเลยให้เป็นไปเช่นนี้ คาดว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงกว่าเดือนเม.ย.ขึ้นอีกก็ได้
“มันเป็นเรื่องที่วิกฤตที่สุดของประเทศ ทั้งที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร หนีคดีตามคำพิพากษาของศาลยังประกาศที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก และรัฐบาลนี้ยังปล่อยให้กระทำได้ นี่ถือเป็นการอ่อนแอที่สุดแล้วตั้งแต่มีรัฐบาลมา ไม่สามารถที่จะรักษาระบบไว้ได้และทำให้เกิดการปั่นป่วน” นายสมศักดิ์ กล่าว
ดังนั้น ต้องขอตำหนิรัฐบาลที่ปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่ใช้กลไกและเครื่องมือใดๆ ออกมาแก้ไขปัญหา ซึ่งการแก้ปัญหาคือ จะต้องมีการป้องกันก่อนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นได้ ไม่ใช่ปล่อยให้เหตุการณ์บานปลายแล้วค่อยคิดแก้ไข หากมันขยายวงกว้างออกประชาชนที่เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นการแก้ปัญหาก็จะยากไปอีก