พิษณุโลก - ธ.ก.ส.ดึงผู้ปลูกข้าวโพด(เลี้ยงสัตว์)เหนือตอนล่างขึ้นทะเบียน ใช้สิทธิ์โควตาประกันราคา 7.1 บาท ป้องสวมสิทธิ์ ขณะที่เกษตรกรยอมรับปัญหาสวมสิทธิ์เกิดขึ้นตลอด
นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองผู้จัดการรักษาการแทน ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรกรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เปิดเผยหลังจากเป็นประธานการประชุมรับฟังความคิดเห็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดและผู้ประกอบการผลิตอาหารสัตว์ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ที่โรงแรมท็อปแลนด์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก เมื่อ 21 ก.ค.52 ที่ผ่านมาว่า เพื่อรับฟังความคิดเห็นของเกษตรกร หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.)เห็นชอบโครงการประกันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปีการผลิต 52/53 ในราคากิโลกรัมละ 7.10 บาท ความชื้นไม่เกิน 14.5 % เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 5.43 บาท รวมค่าขนส่งให้แก่เกษตรกรจากไร่นาไปยังผู้รับซื้อเฉลี่ย ก.ก.ละ 0.25 บาท และให้ค่าตอบแทนแก่เกษตรกร 25% เริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้ โดยเกษตรกรจะต้องต้องไปขึ้นทะเบียน เป็นสมาชิก ธ.ก.ส. ระยะเวลาจดทะเบียนระหว่างเดือนสิงหาคม –พฤศจิกายน ให้ใช้สิทธิ์รายสุดท้ายไม่เกิน 3 เดือน
“ฝากบอกเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ว่า ครม.กำหนดความชื้นต้องไม่เกิน 14.5 เปอร์เซ็นต์นั้น อาจมองว่าต่ำเกินไป เพราะปกติเกษตรกรมักหักข้าวโพด ช่วงที่ต้นยังสด ทำให้มีความชื้นมากถึง 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ ราคาจึงไม่ได้ ฉะนั้นควรปล่อยให้ฝักแห้งก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต เพื่อความชื้นจะอยู่ที่ 20-23 เปอร์เซ็นต์ ลานตากจะหักค่าความชื้นน้อยลง”
นายเอ็นนู กล่าวว่า ไม่แน่ว่าเกษตรกรจะมาขึ้นทะเบียนเพื่อใช้สิทธิ์มากน้อยแค่ไหน แต่ประเมินว่าไม่ต่ำกว่า 2 แสนราย ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน แต่รัฐบาลรับประกันราคาจำนวน 12 ตัน หากผลผลิตเกินกว่านี้รัฐบาลก็จะรับประกันเพียง 12 ตันเท่านั้น เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์และทุจริตเพื่อรับเงินส่วนต่างจากการประกันราคา สำหรับแนวโน้มราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์น่าจะสูง เพราะเป็นที่ต้องการของตลาดในต่างประเทศ อาทิ อเมริกา
“ส่วนตัวมองว่าการประกันราคาผลผลิตทางการเกษตรจะทำให้เกษตรกรได้รับประโยชน์เต็มที่มากกว่าโครงการรับจำนำ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกษตรกรชาวไร่ข้าวโพดในจังหวัดพิษณุโลกบอกว่า ข้าวโพดลงทุนสูง ขายไม่ได้ราคา มักโดนพ่อค้ากดราคาโดยอ้างความชื้น-สิ่งเจือปน แม้รัฐบาลจะประกันราคาก็ตาม ทำให้ราคาอยู่ในเกณฑ์ 4-5 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น
ส่วนการสวมสิทธิ์มักเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ เนื่องจากเกษตรกรมักแจ้งผลผลิตเกินกว่าความเป็นจริง เช่น มีแค่ 5 ไร่ แต่แจ้งไว้ 10 ไร่ ส่วนต่างที่เหลือพ่อค้าก็จะเข้ามาสวมแทน โดยจ่ายค่าตอบแทนให้กับเกษตรกรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองผู้จัดการรักษาการแทน ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรกรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เปิดเผยหลังจากเป็นประธานการประชุมรับฟังความคิดเห็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดและผู้ประกอบการผลิตอาหารสัตว์ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ที่โรงแรมท็อปแลนด์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก เมื่อ 21 ก.ค.52 ที่ผ่านมาว่า เพื่อรับฟังความคิดเห็นของเกษตรกร หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.)เห็นชอบโครงการประกันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปีการผลิต 52/53 ในราคากิโลกรัมละ 7.10 บาท ความชื้นไม่เกิน 14.5 % เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 5.43 บาท รวมค่าขนส่งให้แก่เกษตรกรจากไร่นาไปยังผู้รับซื้อเฉลี่ย ก.ก.ละ 0.25 บาท และให้ค่าตอบแทนแก่เกษตรกร 25% เริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้ โดยเกษตรกรจะต้องต้องไปขึ้นทะเบียน เป็นสมาชิก ธ.ก.ส. ระยะเวลาจดทะเบียนระหว่างเดือนสิงหาคม –พฤศจิกายน ให้ใช้สิทธิ์รายสุดท้ายไม่เกิน 3 เดือน
“ฝากบอกเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ว่า ครม.กำหนดความชื้นต้องไม่เกิน 14.5 เปอร์เซ็นต์นั้น อาจมองว่าต่ำเกินไป เพราะปกติเกษตรกรมักหักข้าวโพด ช่วงที่ต้นยังสด ทำให้มีความชื้นมากถึง 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ ราคาจึงไม่ได้ ฉะนั้นควรปล่อยให้ฝักแห้งก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต เพื่อความชื้นจะอยู่ที่ 20-23 เปอร์เซ็นต์ ลานตากจะหักค่าความชื้นน้อยลง”
นายเอ็นนู กล่าวว่า ไม่แน่ว่าเกษตรกรจะมาขึ้นทะเบียนเพื่อใช้สิทธิ์มากน้อยแค่ไหน แต่ประเมินว่าไม่ต่ำกว่า 2 แสนราย ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน แต่รัฐบาลรับประกันราคาจำนวน 12 ตัน หากผลผลิตเกินกว่านี้รัฐบาลก็จะรับประกันเพียง 12 ตันเท่านั้น เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์และทุจริตเพื่อรับเงินส่วนต่างจากการประกันราคา สำหรับแนวโน้มราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์น่าจะสูง เพราะเป็นที่ต้องการของตลาดในต่างประเทศ อาทิ อเมริกา
“ส่วนตัวมองว่าการประกันราคาผลผลิตทางการเกษตรจะทำให้เกษตรกรได้รับประโยชน์เต็มที่มากกว่าโครงการรับจำนำ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกษตรกรชาวไร่ข้าวโพดในจังหวัดพิษณุโลกบอกว่า ข้าวโพดลงทุนสูง ขายไม่ได้ราคา มักโดนพ่อค้ากดราคาโดยอ้างความชื้น-สิ่งเจือปน แม้รัฐบาลจะประกันราคาก็ตาม ทำให้ราคาอยู่ในเกณฑ์ 4-5 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น
ส่วนการสวมสิทธิ์มักเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ เนื่องจากเกษตรกรมักแจ้งผลผลิตเกินกว่าความเป็นจริง เช่น มีแค่ 5 ไร่ แต่แจ้งไว้ 10 ไร่ ส่วนต่างที่เหลือพ่อค้าก็จะเข้ามาสวมแทน โดยจ่ายค่าตอบแทนให้กับเกษตรกรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
