ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- “พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์” มทภ.2 ระบุ เจรจาร่วม ผบ.ทหารภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา เป็นไปด้วยดีหารือการปรับกำลังทหารและอาวุธ ตามแนวชายแดนลดการเผชิญหน้าและไม่ให้เกิดปะทะครั้งที่ 3 ขึ้นอีก พร้อมนัดประชุม กก.ทหารระดับภูมิภาค 2 ประเทศ ที่โคราชปลาย ก.ค.นี้ เพื่อถกปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ทุกเรื่อง ยันทหารระดับพื้นที่ชายแดนยังเจรจากันได้ไม่เปิดฉากปะทะ ชี้ รอผลการเจรจาระดับสูงของรัฐบาล 2 ปท.ชี้ขาดสถานการณ์ชายแดนคลี่คลายหรือไม่ เชื่อไม่เกี่ยวข้องการเมืองไทยร้อนและม็อบเสื้อแดง 27 มิ.ย.นี้ เผย “ผบ.ทบ.” ห่วงกำลังพล เสริมอาวุธพิเศษให้ป้องกันตัวเองเต็มที่ พร้อมกำชับห้ามรุกรานหรือยิงก่อน
วันนี้ (26 มิ.ย.) ที่ลานนวมินทร์ สวนน้ำบุ่งตาหลั่วเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงาน “ประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านยาเสพติดเนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดโลก” ถึงผลการหารือกับ พล.ท.เจีย มอญ ผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 ฝ่ายกัมพูชาที่ช่องจอม จ.สุรินทร์ เมื่อวานนี้ ว่า ได้หารือกันถึงเรื่องการกำหนดการประชุมคณะกรรมการในระดับภูมิภาค ระหว่างกองทัพภาคที่ 2 กับ กองบัญชาทหารภูมิภาคที่ 4 ของฝ่ายกัมพูชา อย่างป็นทางการ เพื่อหารือกันเกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ทุกปัญหาที่ได้สะสมมา และยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยกองทัพภาคที่ 2 เป็นเจ้าภาพในการประชุม คาดว่า จะมีขึ้นปลายเดือน ก.ค.นี้ที่จังหวัดนครราชสีมา
“เราจะนำปัญหาทุกปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งเรื่องที่ถูกสะสมมาและยังไม่ได้รับการแก้ไขซึ่งยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบันขึ้นมาหารือเพื่อหาทางออกร่วมกันทุกเรื่อง” พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือกันถึงเรื่องการปรับกำลังตามแนวชายแดน โดยเฉพาะด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เนื่องจากความหนาแน่นของกำลังพลและอาวุธที่ทั้ง 2 ประเทศเคลื่อนย้ายเข้ามาในช่วงที่ผ่านมา เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือนำไปสู่การใช้อาวุธ ขึ้นมาได้ถ้าไม่มีการแก้ไข ซึ่งได้หารือกันว่า เราจะปรับกำลังและอาวุธให้มีความเหมาะสมและอยู่ในสถานการณ์ที่ไว้วางใจซึ่งกันและกันนั้นจะทำอย่างไร
“มีข้อตกลงว่าจะนัดหารือกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อคลี่คลายกองกำลังที่มีอยู่ และเน้นว่าเราจะไม่รบกันและจะดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาทั้ง 2 ฝ่ายเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะครั้งที่ 3 ขึ้น” พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีท่าทีแข็งกร้าวและยืนยันจะไม่เจรจากับรัฐบาลไทยนั้น พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับระดับนโยบายที่จะไปพบปะเจรจากัน แต่คิดว่าน่าจะทราบปัญหาแล้วในแนวทางที่จะพูดคุย ซึ่งการเผชิญหน้ากันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา โดยมีอาวุธครบนั้นก็เป็นเรื่องที่หนักใจ คิดว่า ระดับนโยบายน่าจะหาทางแก้ไขปัญหาได้ ในส่วนของผู้ปฏิบัติก็ทำตามนโยบายอยู่แล้ว
“ขอยืนยันว่า ในห้วงนี้เรายังเจรจากันได้ ถ้าถึงขั้นไม่เจรจากัน และนำไปสู่ความขัดแย้งในจุดของกำลังเล็กๆ เหมือนที่ผ่านมาก็จะทำให้เกิดปัญหาการไม่ยอมกันในจุดวางกำลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากและต้องนำไปสู่การปะทะกัน แต่ ณ เวลานี้ทุกจุดมีการวางกำลังกันได้ชัดเจนแล้ว และเข้าใจกันดี เพียงแต่ว่าเราก็ต้องเตรียมความพร้อมในการป้องกันตนเองไว้ หากเกิดมีเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้น ฉะนั้นการเจรจายังดำรงความสัมพันธ์กันได้ และพูดคุยกันได้ ปัญหาต่าง ๆ จึงยังไม่เกิด คือ ยังเบาใจได้ว่าเราคุยกันได้อยู่” พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ กล่าว
พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในการปรับหรือถอนกำลังและอาวุธนั้น ทางฝ่ายอำนวยการกองทัพของทั้ง 2 ฝ่าย กำลังเจรจาและดูรายละเอียดในการปรับกำลังอยู่ ซึ่งจะรอระดับนโยบายให้มีความชัดเจน ว่าจะมีการคลี่คลายในเรื่องกำลังพลที่เผชิญหน้ากันอยู่อย่างไรเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมต่อไป
พร้อมกันนี้ ได้รายงานสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ทราบทุกระยะ และ ผบ.ทบ.ได้แสดงความเป็นห่วงกำลังพล โดยขาดเหลืออะไรก็เติมเต็มให้ ทั้งอาวุธพิเศษการป้องกันตัวและอาวุธเสริมต่างๆ เพื่อให้มีความมั่นใจว่าเราป้องกันตนเองได้ กำลังพลไม่บาดเจ็บหากเกิดมีการปะทะกันขึ้น และกำชับว่า เราต้องไม่รุกรานหรือเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
“อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ เวลานี้ ยืนยันว่ายังพูดคุยกันได้ในระดับผู้ปฏิบัติ แต่ในระดับรัฐบาลหรือระดับสูงคงต้องรอฟังอีกครั้ง หากการเจรจาเป็นไปด้วยดี ก็จะทำให้สถานการณ์ชายแดนคลี่คลายลงมาก ซึ่งการเจรจาระดับสูงมีผลอย่างมาก” พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ กล่าว
ต่อข้อถามกรณีเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา กลับมาตึงเครียดอีกครั้งนั้น มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับความร้อนแรงทางการเมืองในประเทศไทยที่จะมีการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ หรือไม่นั้น พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ กล่าวว่า คิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น เป็นวิธีการหรือการปฏิบัติของการเมืองภายใน
ส่วนของนโยบายระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ หรือการแก้ไขปัญหาชายแดนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดูแล้วทางฝ่ายกัมพูชาก็มีความจริงใจไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในประเทศของไทย คิดว่า คงเกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องของกรณีความขัดแย้งปราสาทพระวิหาร เท่านั้น