xs
xsm
sm
md
lg

ชาวบ้านโวยถูกฮุบที่มรดกเป็นที่หลวง - ยันใช้ทำกินตั้งแต่ปี 2498

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


น่าน – ชาวบ้านเมืองน่านรวมตัวร้องขอความเป็นธรรม หลังถูกฮุบที่มรดกตกทอดจากต้นตระกูล ที่ได้รับอนุญาตให้ทำประโยชน์ตั้งแต่ปี 2498 มี สค.1 รับรอง ไปเป็นที่หลวง (นสร.) แถมเคยยื่นฟ้องแล้ว แต่แพ้คดี ล่าสุดอยู่ระหว่างอุทธรณ์ แต่มีสิทธิ์แพ้ซ้ำอีก

วันนี้ (24 มิ.ย.) นายชัยโรจน์ อัครสิทธิรุจน์ นายก อบต.ฝายแก้ว พร้อมด้วยชาวบ้านจำนวน 23 ครอบครัว ได้รวมตัวกันเรียกร้องขอความเป็นธรรม หลังจากที่ดินของพวกเขา ที่ใช้เป็นพื้นที่ทำกินมาหลายชั่วอายุคน และตกทอดเป็นมรดกมาหลายรุ่น มีหนังสือแจ้งการครอบครองที่ดินหรือส.ค. 1เป็นหลักฐานแสดงสิทธิ์ครอบครอง แต่ขณะนี้ได้กลายเป็นที่ดิน นสร.(หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง) และชาวบ้านทั้ง 23 ครอบครัว กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก เนื่องจากจะไม่มีที่ดินทำกินอีกต่อไป

จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นทราบว่า ชาวบ้านทั้งหมดในพื้นที่บ้านแสงดาว เคยได้รับอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ของที่ดิน มาตั้งแต่ พ.ศ.2498 ต่อมาในปี 2528 ได้มีการรังวัดที่ดิน เพื่อออกเป็น นสร. โดยในขณะนั้นชาวบ้านไม่ได้รับทราบถึงการสำรวจเพื่อออกเอกสารดังกล่าว และไม่ได้มีการคัดค้าน แต่มาทราบอีกครั้งเมื่อที่ดินของตนได้ถูกออกเอกสารนสร.ทับสิทธิ์ไปแล้ว

โดยชาวบ้าน 23 ครอบครัว มีเนื้อที่ดินรวมกันประมาณ 80 ไร่ และทุกแปลงได้ใช้ทำประโยชน์มาตลอด ไม่ได้ถูกทิ้งร้างแต่อย่างใด

นางคำอ้วน หนองภิวงศ์ อายุ 64 ปี เปิดเผยว่า ได้รับมรดกตกทอดเป็นที่ดินจำนวน 2ไร่กว่ามาจากมารดา เมื่อตอนอายุ 10 ขวบ หรือ 54 ปีที่แล้ว ซึ่งก็ได้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ในการเพาะปลูกข้าวโพด และผักพื้นบ้านเพื่อเลี้ยงชีพ และหากบุตรหลานตกงานไม่มีอาชีพก็จะให้มาทำเพาะปลูกในที่ดินผืนนี้ แต่ขณะนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเคยมีกรณีชาวบ้านที่นี่ถูกตำรวจจับข้อหาบุกรุกที่หลวง จึงอยากขอเรียกร้องที่ดินกลับมาเหมือนเดิม

ขณะที่ อดีตกำนัน ต.ฝายแก้ว เล่าว่า หลังจากปี 2528 ที่มีการออกเอกสารทับที่ดินของชาวบ้านแล้ว ในปี 2535 ชาวบ้านได้ยื่นฟ้องขอความเป็นธรรม แต่ด้วยเอกสารหลักฐานต่างๆไม่เพียงพอ จึงแพ้คดีความในศาลชั้นต้น เมื่อช่วงปี 2550 และขณะนี้อยู่ระหว่างการอุทธรณ์

ทั้งนี้ ชาวบ้านทั้ง 23 ครอบครัวมีฐานะยากจนต้องรวบรวมเงินเพื่อสู้คดี บางรายถึงกับต้องขายวัวที่เลี้ยงไว้เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายต่อสู้เรื่องคดีความ แต่เป็นไปได้ว่าอาจแพ้คดีความอีก เนื่องจากชาวบ้านไม่ได้มีหลักฐานทางเอกสารเพื่อต่อสู้คดีความ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ชาวบ้านทั้ง 23 ครอบครัวก็ต้องลำบากหนักแน่ เพราะไม่มีที่ดินทำกิน



กำลังโหลดความคิดเห็น