ศูนย์ข่าวศรีราชา - ป.ป.ช.ลุยภาคตะวันออกเจาะฐานกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจภาคเอกชน 7 จังหวัดเสวนา “ภาคธุรกิจโปร่งใส แผ่นดินไทยไร้คอร์รัปชัน” ชี้ภาคเอกชนเป็นกลไกสำคัญในการร่วมรณรงค์แก้ไขปัญหาสู่หลักบรรษัทภิบาลดึงคุณธรรมสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่
วันนี้ (17 มิ.ย.) ที่โรงแรมไอยศวรรย์ รีสอร์ทแอนด์สปา เมืองพัทยา จ.ชลบุรี นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมการเสวนาระหว่างคณะกรรมการ ป.ป.ช.และภาคธุรกิจเอกชนเรื่อง “ภาคธุรกิจโปร่งใส แผ่นดินไทยไร้คอร์รัปชัน” โดยมีตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการภาคเอกชนเครือข่ายสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหอการค้าจังหวัด 7 จังหวัดภาคตะวันออกเข้าร่วมอย่างคับคั่ง
ด้าน น.ส.ดวงพร รุจิเลข รองประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้ข้อมูลว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นการคอร์รัปชั่นในประเทศไทยส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในสังคมไทยมาโดยตลอด นับเป็นปัญหาอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวโยงกับ 3 หน่วยงานสำคัญทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งการคอร์รัปชันในส่วนของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐนั้นมีการให้ความสำคัญต่อประเด็นการแก้ไขปัญหามาโดยตลอด แต่ในส่วนของภาคเอกชนยังไม่ได้มีการให้ความสำคัญในแก้ไขมากเท่าไรนัก
ทั้งนี้ การคอร์รัปชันในส่วนของภาคธุรกิจเอกชนต้องมีการแก้ไข โดยสนับสนุนให้กลุ่มผู้ประกอบการนำเอาหลักคุณธรรมและหลักธรรมาภิบาลมาปรับใช้ในองค์จนพัฒนาไปสู่ระบบบรรษัทภิบาลได้ ซึ่งการเสวนาที่จัดขึ้นครั้งนี้ ถือว่าเป็นการขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการตระหนักและให้ความสำคัญในการแก้ปัญหา ซึ่งจะได้มีการรวบรวมข้อมูลก่อนำไปพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขในการต่อไป
ขณะที่ นายปานเทพระบุด้วยว่า ปัญหาดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการพัฒนาประเทศ ทางองค์การสหประชาชาติในฐานะของเวทีประชาคมโลกจึงได้จัดให้มีการประชุมปรึกษาหารือเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง จนเป็นผลให้เกิดอนุสนธิสัญญาสหประชาชนติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันขึ้น และป.ป.ช.เองก็ได้แสดงเจตนารมณ์สนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวอย่างเข้มแข็ง
กิจกรรมในครั้งนี้ ป.ป.ช.ได้ดำเนินการทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทยโดยที่ผ่านมาได้จัดครั้งแรกที่ภาคใต้ที่จังหวัดภูเก็ต ครั้งที่ 2 ที่ภาคตะวันออกเฉียงเนือ จังหวัดขอนแก่น และครั้งที่ 3 ภาคกลางที่เมืองพัทยา และต่อไปจะจัดขึ้นที่ภาคเหนือจังหวัดเชียงใหม่ประมาณกลางเดือนกรกฏาคม 2552 ที่จะถึงนี้เพื่อให้มีการดำเนินการอย่างครอบคลุมอันจะนำไปสู่การรวมพลังกันเป็นเครือข่ายป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อแก้ไขปัญดังกล่าวเพื่อพัฒนาสังคมไทยให้ดีขึ้น