“อภิสิทธิ์” สั่งช่วยชาววารินฯถูกนายทุนออกโฉนดทับที่ดินเกือบหมื่นไร่

อุบลราชธานี- เจ้าหน้าที่ที่ดินอำเภอวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เดินหน้าเจรจาแก้ปัญหานายทุนออกโฉนดทับที่ดินทำกินของชาวบ้านกว่า 300 ราย เนื้อที่เกือบ 1 หมื่นไร่ ตามที่ชาวบ้านร้องกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยเป็นที่ดินที่มีข้อพิพาทกันมากว่า 40 ปี

วันนี้ (28 พ.ค.) ที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท สำนักงานที่จังหวัดอุบลราชธานี สาขาอำเภอวารินชำราบ นายกิตติพงศ์ ผลประยูร เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสาขาอำเภอวารินชำราบ ประชุมร่วมกับชาวบ้านเจ้าของที่ดินในตำบลบุ่งหวายและตำบลหนองกินเพล อ.วารินชำราบ ซึ่งมีข้อพิพาทถูกนายทุนออกโฉนดทับที่ดินทำกินเมื่อ 40 ปีก่อน จำนวนกว่า 300 แปลง คิดเป็นเนื้อที่ดินเกือบ 1 หมื่นไร่

ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นชาวบ้านทั้ง 2 ตำบล ได้ทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมจาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีกรณีถูกนายทุนฟ้องขับไล่ และเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2550 รัฐบาลสมัยนั้นได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเก็บข้อมูล พบข้อพิรุธในการออกโฉนดทับที่ดินทำกินของประชาชน แต่ยังไม่ได้ดำเนินการช่วยเหลืออะไร

ต่อมาวันที่ 12 พฤษภาคม 2552 กลุ่มพิทักษ์สิทธิที่ดินทำกิน เครือข่ายชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมชาวบ้านที่เดือดร้อนได้ยื่นหนังสือถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กรมที่ดินสำรวจรังวัด และไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในที่ดินจำนวน 31 แปลง ซึ่งนายทุนยังไม่ได้ออกโฉนดให้ออกโฉนดให้กับชาวบ้าน

พร้อมได้เข้ายื่นหนังสือถึง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบกระบวนการออกโฉนดที่ดินที่มีข้อพิพาททั้งหมด เพราะการรังวัดออกโฉนดของนายทุนที่ผ่านมา ไม่มีการรังวัดสอบแนวเขตที่ดินข้างเคียง จึงถือเป็นเรื่องผิดขั้นตอนของการออกโฉนด รวมทั้งการออกโฉนดที่ดินเนื้อที่นับหมื่นไร่ เจ้าหน้าที่ควรต้องมีข้อสงสัยการได้มาของที่ดินของนายทุนบ้าง เพื่อให้ชาวบ้านที่กำลังถูกนายทุนฟ้องขับไล่ใช้เป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาล

ต่อมากระทรวงมหาดไทย โดย นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้อธิบดีกรมที่ดินสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่ดินตั้งคณะทำงานแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้กับชาวบ้าน จึงได้มีการประชุมหารือกำหนดกรอบการทำงาน และภายหลังการประชุมได้ข้อสรุปคือ จะมีการแบ่งกลุ่มปัญหาที่ดินไว้ 3 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจำนวน 6 ราย เป็นกลุ่มที่เจ้าหน้าที่ที่สามารถเจรจาไกล่เกลี่ยหาข้อยุติและพร้อมออกโฉนดได้เลย

ส่วนกลุ่มที่สองจำนวน 25 ราย เป็นกลุ่มที่มีเอกสารไม่ครบถ้วน หรือต้องรังวัดตรวจสอบเพิ่มเติม ก็ต้องทำรายละเอียดให้ครบถ้วนถูกต้องก่อน ส่วนกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มที่มีข้อพิพาทฟ้องร้อง เจ้าหน้าที่ยังทำอะไรไม่ได้ก็ต้องชะลอดูปัญหาต่อไปก่อน

การแก้ปัญหาให้กับชาวบ้านที่ถูกนายทุนออกโฉนดทับที่ดินทำกิน จะแจ้งความคืบหน้าให้กระทรวงทราบเป็นระยะทุกเดือน จนกว่าปัญหาที่ดินทั้งหมดจะได้รับการแก้ไขและยุติข้อพิพาท ระหว่างชาวบ้านที่ครอบครองที่ดินทำกินกับนายทุนที่มาออกโฉนด

ด้านนางกิตติยา ประเสริฐปอง ราษฎรบ้านหนองกินเพล ต.หนองกินเพล เจ้าของที่ดินจำนวน 10 ไร่ และเป็นเจ้าของที่ดินในกลุ่มแรก กล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่นัดให้มาเจรจากับนายทุน แต่ไม่ได้มาพบ เพราะเกรงจะถูกนายทุนเอาเปรียบ แต่หลังการประชุมมีแนวโน้มปัญหาจะได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง และเจ้าหน้าที่อาจออกโฉนดให้ได้ จึงนัดมาพบกันอีกในวันที่ 9 มิ.ย.ศกนี้

ทั้งนี้ หากนายทุนยื่นเงื่อนไขให้ซื้อที่ดิน หรือมาขอแบ่งที่ดินคนละครึ่ง นางกิติยาก็จะไม่ยอม เพราะที่ดินของตนไม่เคยมีการซื้อขายกันมาก่อน ขณะนี้มีความหวังจะได้ที่ดินคืน 50% จากไม่เคยมีความหวังในการทำงานของเจ้าหน้าที่ชุดที่ผ่านมาเลย

สำหรับปัญหาที่ดินที่เป็นข้อพิพาทมาอย่างยาวนาน เริ่มเมื่อปี 2535 กรมที่ดินประกาศให้ชาวบ้านที่มีใบจอง หรือ น.ส.2 ให้มายื่นเรื่องออกโฉนดที่ดิน เมื่อชาวบ้านมายื่นเรื่องก็พบว่า มีการออกโฉนดที่ดินในที่ดินทำกินของพวกตนไปแล้วเมื่อ 23 ปีก่อน โดยครั้งนั้นนายทุนที่เป็นอดีตนักการเมืองเคยมาพบแจ้งให้ชาวบ้านที่มีใบจองมอบสิทธิ เพื่อไปวิ่งเต้นช่วยออกโฉนดให้กับชาวบ้าน หลังการมอบสิทธิก็ได้หายหน้าไป

ก่อนจะกลับมาขอซื้อที่ดินกับชาวบ้านในอัตราไร่ละ 500 บาทในปีต่อมา แต่ชาวบ้านไม่ยอม และนักการเมืองรายนั้น ก็ไม่ได้มาติดต่ออีกเลย กระทั่งมารู้เรื่องภายหลังมีการออกโฉนดในที่ดินทำกินของชาวบ้านทั้งหมดแล้ว จึงได้เคลื่อนไหวต่อสู้เรื่อยมาจนถึงวันนี้