ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - รมว.พลังงานย้ำใช้เงินกองทุนฯ อุ้มราคาน้ำมันอย่างน้อย 1 เดือนกว่า 5,000 ล้านเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ปชช. หลัง ก.คลังปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตรน้ำมันลิตรละ 2 บาทตั้งแต่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา เผยล่าสุดปรับลดค่าการตลาดเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ลงลิตรละ 40 สต. ช่วยลดภาระอุ้มราคาน้ำมันของกองทุนฯลงได้ 240 ล้าน เหลือเดือนละ 5,060 ล้าน
วันนี้ (16 พ.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น. นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานให้สัมภาษณ์ที่ จ.นครรราชสีมา ว่า ตามที่กระทรวงการคลังได้ประกาศขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงลิตรละ 2 บาท ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น ทางกระทรวงพลังงานโดย คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ( กบง.) ได้มีมติใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปลดภาระความเดือดร้อนของประชาชนด้วยการลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือน เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกที่ปั๊มเปลี่ยนแปลง
ประกอบกับในขณะนี้ค่าการตลาดของกลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ค่อนข้างสูงจึงมีการปรับลดค่าการตลาดลงลิตรละ 40 สตางค์ เท่ากับเป็นการลดภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลงอีกลิตรละ 40 สตางค์ ในส่วนของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ ส่วนค่าการตลาดน้ำมันดีเซลนั้นยังคงไว้ตามเดิม
“เดิมคาดการณ์ว่าจะใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปพยุงราคาน้ำมันดังกล่าวถึงเดือนละ 5,300 ล้านบาท แต่เนื่องจากเห็นว่า ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ยังสูง จึงปรับลงมาทำให้กองทุนน้ำมันฯ ลดภาระไปได้รวม 240 ล้านบาท จึงเหลือภาระที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะต้องรับผิดชอบตอนนี้เดือนละ 5,060 ล้านบาท และในกรณีที่มีการปรับลดราคาน้ำมันทุกชนิดอีกอย่างช้า ๆ ก็จะลดภาระของกองทุนฯ ลงมาได้อีก ” นพ.วรรณรัตน์กล่าว
ดังนั้นขอยืนยันว่าราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และ น้ำมันดีเซลรวมถึงน้ำมันทุกชนิด ยังคงเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นเป็นกลไกการปรับขึ้นของราคาตลาดเท่านั้น
นพ.วรรณรัตน์ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกนั้น ยังมีการปรับขึ้นลงผันผวนอย่างต่อเนื่องและไม่นิ่ง เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกยังไม่ดีแม้ว่าจะมีทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้นก็ตาม แต่ปริมาณการใช้น้ำมันทั่วโลกยังไม่เพิ่มขึ้น ฉะนั้นจึงคิดว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่น่าจะปรับตัวสูงขึ้นในระยะนี้
ส่วนกรณีที่มีหลายฝ่ายคาดว่าประเทศไทยจะใช้น้ำมันแพงถึงลิตรละ 40-45 บาทนั้น เป็นการคาดการณ์ที่เกินเหตุ เพราะถ้ามองในขณะนี้ไม่ถึงจุดนั้นแน่ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ดี