น่าน – เครือข่ายสุราพื้นบ้าน 15 อำเภอ เข้ายื่นหนังสือถึงผู้ว่าฯ ส่งต่อความเดือดร้อนให้รัฐบาลทบทวนนโยบายขึ้นค่าอากรแสตมป์ และแยกเกณฑ์ภาษีสุราชุมชนออกจากสุราโรง หรือเหล้าขาวของนายทุนใหญ่ ซึ่งขณะนี้สุราพื้นบ้านชุมชนรายเล็กต้องปิดตัวแล้วจำนวนมาก
วันนี้ (2 เม.ย.) แกนนำเครือข่ายสุราพื้นบ้าน จังหวัดน่าน นำโดย นายประเสริฐ สบานงา ผู้ประธานเครือข่าย และแกนนำทั้ง 15 อำเภอ ทั่วทั้งจังหวัดน่าน กว่า 20 คน เดินทางมาที่ศาลากลางจังหวัด เพื่อยื่นหนังสือต่อ นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ให้เสนอปัญหาความเดือดร้อนของสมาชิกเครือข่ายสุราพื้นบ้านจังหวัดน่าน ต่อไปยังรัฐบาล เพื่อพิจารณาแยกฐานภาษีของสุรากลั่นที่กลุ่มชาวบ้านผลิต ออกจากฐานภาษีสุราจากโรงงานใหญ่ ซึ่งจะทำให้การเสียภาษีของกลุ่มชาวบ้านถูกลงกว่าโรงงานใหญ่
โดยชาวบ้าน อ้างว่า การผลิตสุราพื้นบ้านแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นเพียงกลุ่มที่มีกำลังการผลิตไม่เกิน 5 แรงม้า 7 แรงคน แต่กลับต้องใช้ต้นทุนการผลิตเหล้าสูงกว่าโรงงานใหญ่ที่ไม่จำกัดกำลังการผลิต ทำให้สู้ราคา และทำตลาดไม่ไหว แต่ต้องแบกรับภาระเรื่องอากรแสตมป์และภาษีที่ขึ้นลงเหมือนกับของโรงงานใหญ่ด้วย
อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ได้มอบหมายให้ นายอนวัช สัตตบุศย์ ป้องกันจังหวัดน่าน และนายนิกร ธเนศราภา สรรพสามิตพื้นที่น่าน เข้ารับเรื่องแทน และได้ประชุมหารือเพื่อรับทราบปัญหารายละเอียด
นายศุภฤกษ์ ฤกษ์วัฒนอำไพ ที่ปรึกษาเครือข่ายสุราพื้นบ้าน อ.เวียงสา จ.น่าน เปิดเผยถึงความคลางแคลงสงสัย ในเรื่องการลักลอบนำเข้าเหล้าเถื่อนจากจังหวัดใกล้เคียง ที่คาดว่าจะมีกำลังผลิตเกิน 5 แรงม้า 7 แรงคนตามที่กฎหมายกำหนด และที่ได้ส่งสุราเข้าตีตลาดในจังหวัดน่าน จนส่งผลกระทบถึงผู้ผลิตรายเล็กๆ เป็นอย่างมาก และขาดทุนจนได้มีการปิดตัวไปแล้วจำนวนมาก
สรรพสามิตพื้นที่น่าน ได้ชี้แจงว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องระดับนโยบาย ซึ่งเกินอำนาจที่จังหวัดจะพิจารณาดำเนินการตามข้อเรียกร้องได้ทั้งหมด แต่จะรับเรื่องเพื่อเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และส่งผ่านไปยังรัฐบาลตามความประสงค์ของเครือข่ายฯ และได้เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาเบื้องต้น ด้วยการเน้นให้ความรู้และเทคนิคในเรื่องการผลิตที่ได้ปริมาณมากและได้คุณภาพให้เป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้บริโภค เพื่อที่จะได้สู้ตลาดได้ ซึ่งกลุ่มแกนนำเห็นด้วยกับแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว และเตรียมร่วมกับทางสรรพสามิตเพื่อพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการผลิตสุรากลั่นชุมชนต่อไป