ลำปาง - ศาลปกครองเชียงใหม่สั่งเพิกถอนคำสั่งสภามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ที่เสนอชื่อ “ผศ.เล็ก แสงมีอานุภาพ” เป็นอธิการบดี ชี้เป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พร้อมมีคำสั่งให้เสนอชื่อ “ผศ.วิลาศ พุ่มพิมล” เป็นอธิการบดีแทน ภายใน 30 วัน
รายงานข่าวจากจังหวัดลำปางแจ้งว่า ศาลปกครองเชียงใหม่ได้มีคำพิพากษาในคดีที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิลาศ พุ่มพิมล คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ผู้ฟ้องคดี โดยมีสภามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กรณีไม่ดำเนินการเสนอชื่อตนเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ทั้งที่ได้ผ่านกระบวนการสรรหาเรียบร้อยแล้ว แต่สภามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง กลับเสนอให้ผู้ช่วยศาสตราจารย์เล็ก แสงมีอานุภาพ อดีตอธิการฯที่ครบวาระลง ให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแทน
โดยผู้ฟ้องเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวของสภาและนายกสภาฯ เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ มีนางสาวกรรณิการ์ สุริยา เป็นตุลาการเจ้าของสำนวน และนางสาวสายทิพย์ สุคติพันธ์ เป็นตุลาการผู้แถลงคดีมีความเห็นแย้งและขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 มาตรา 28 บัญญัติว่า อธิการบดีนั้น จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง โดยคำแนะนำของสภามหาวิทยาลัย จากผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 29 หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา และคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
และข้อบังคับของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการได้มา และคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี พ.ศ 2551 ข้อ 14 วรรคแรก กำหนดให้สภามหาวิทยาลัยดำเนินการเลือกบุคคลจากบัญชีรายชื่อของคณะกรรมการสรรหาให้เหลือเพียงหนึ่งคน เพื่อดำรงตำแหน่งอธิการบดี วรรคห้า กำหนดให้นายสภามหาวิทยาลัยดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งบุคคล ตามวรรคแรกให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีต่อไป
เมื่อได้วินิจฉัยไปแล้วว่า การประชุมของสภามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางชุดเดิม เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2551 เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงต้องดำเนินการเสนอชื่อผู้ฟ้องคดีเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางต่อไป ตามข้อ 14 วรรคห้า ของข้อบังคับมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ว่าด้วย หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา และคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี พ.ศ.2551 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีหนังสือด่วนที่สุดที่ ศธ 0534/สมรลป.ว 053 ลงวันที่ 16 กันยายน 2551 แจ้งกำหนดการประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ครั้งที่ 11/2551 ในวันที่ 26 กันยายน 2551 ให้กรรมการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ทราบ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 11/2551 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2551 ระเบียบวาระที่ 5.13 เลือกผู้ช่วยศาสตราจารย์เล็ก แสงมีอานุภาพ เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง แทนผู้ฟ้องคดี โดยไม่ได้ดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้ฟ้องคดีให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง จึงเป็นการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 มาตรา 28 ประกอบข้อบังคับมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ว่าด้วย หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา และคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี พ.ศ.2551 ข้อ 14 วรรคห้า
ศาลปกครองเชียงใหม่ จึงมีคำพิพากษาเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการประชุมครั้งที่ 11/2551 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2551 ระเบียบวาระที่ 5.13 ที่เลือกผู้ช่วยศาสตราจารย์เล็ก แสงมีอานุภาพ เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิลาศ พุ่มพิมล ผู้ฟ้องคดี ให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด และให้คำสั่งกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาที่ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ชะลอการเสนอผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง มีผลบังคับใช้ต่อไปจนกว่าคดีถึงที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในคดีนี้นางสาวสายทิพย์ สุคติพันธ์ ตุลาการผู้แถลงคดีมีความเห็นว่ามติของสภามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ในการประชุมครั้งที่ 11/2551 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2551 ระเบียบวาระที่ 5.13 ที่มีมติเลือกผู้ช่วยศาสตราจารย์เล็ก แสงมีอานุภาพ เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เป็นมติที่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการประชุมคครั้งที่ 10/2551 ที่เลือกผู้ช่วยศาสตราจารย์วิลาศ พุ่มพิมล ผู้ฟ้องคดี เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ได้สิ้นผลไปโดยเงื่อนไขของมตินั้นเอง การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มิได้ดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้ฟ้องคดีเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง จึงมิได้เป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดแต่อย่างใด ซึ่งคดีนี้สภามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง สามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ ภายใน 30 วัน
รายงานข่าวจากจังหวัดลำปางแจ้งว่า ศาลปกครองเชียงใหม่ได้มีคำพิพากษาในคดีที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิลาศ พุ่มพิมล คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ผู้ฟ้องคดี โดยมีสภามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กรณีไม่ดำเนินการเสนอชื่อตนเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ทั้งที่ได้ผ่านกระบวนการสรรหาเรียบร้อยแล้ว แต่สภามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง กลับเสนอให้ผู้ช่วยศาสตราจารย์เล็ก แสงมีอานุภาพ อดีตอธิการฯที่ครบวาระลง ให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแทน
โดยผู้ฟ้องเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวของสภาและนายกสภาฯ เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ มีนางสาวกรรณิการ์ สุริยา เป็นตุลาการเจ้าของสำนวน และนางสาวสายทิพย์ สุคติพันธ์ เป็นตุลาการผู้แถลงคดีมีความเห็นแย้งและขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 มาตรา 28 บัญญัติว่า อธิการบดีนั้น จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง โดยคำแนะนำของสภามหาวิทยาลัย จากผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 29 หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา และคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
และข้อบังคับของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการได้มา และคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี พ.ศ 2551 ข้อ 14 วรรคแรก กำหนดให้สภามหาวิทยาลัยดำเนินการเลือกบุคคลจากบัญชีรายชื่อของคณะกรรมการสรรหาให้เหลือเพียงหนึ่งคน เพื่อดำรงตำแหน่งอธิการบดี วรรคห้า กำหนดให้นายสภามหาวิทยาลัยดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งบุคคล ตามวรรคแรกให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีต่อไป
เมื่อได้วินิจฉัยไปแล้วว่า การประชุมของสภามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางชุดเดิม เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2551 เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงต้องดำเนินการเสนอชื่อผู้ฟ้องคดีเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางต่อไป ตามข้อ 14 วรรคห้า ของข้อบังคับมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ว่าด้วย หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา และคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี พ.ศ.2551 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีหนังสือด่วนที่สุดที่ ศธ 0534/สมรลป.ว 053 ลงวันที่ 16 กันยายน 2551 แจ้งกำหนดการประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ครั้งที่ 11/2551 ในวันที่ 26 กันยายน 2551 ให้กรรมการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ทราบ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 11/2551 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2551 ระเบียบวาระที่ 5.13 เลือกผู้ช่วยศาสตราจารย์เล็ก แสงมีอานุภาพ เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง แทนผู้ฟ้องคดี โดยไม่ได้ดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้ฟ้องคดีให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง จึงเป็นการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 มาตรา 28 ประกอบข้อบังคับมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ว่าด้วย หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา และคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี พ.ศ.2551 ข้อ 14 วรรคห้า
ศาลปกครองเชียงใหม่ จึงมีคำพิพากษาเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการประชุมครั้งที่ 11/2551 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2551 ระเบียบวาระที่ 5.13 ที่เลือกผู้ช่วยศาสตราจารย์เล็ก แสงมีอานุภาพ เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิลาศ พุ่มพิมล ผู้ฟ้องคดี ให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด และให้คำสั่งกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาที่ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ชะลอการเสนอผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง มีผลบังคับใช้ต่อไปจนกว่าคดีถึงที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในคดีนี้นางสาวสายทิพย์ สุคติพันธ์ ตุลาการผู้แถลงคดีมีความเห็นว่ามติของสภามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ในการประชุมครั้งที่ 11/2551 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2551 ระเบียบวาระที่ 5.13 ที่มีมติเลือกผู้ช่วยศาสตราจารย์เล็ก แสงมีอานุภาพ เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เป็นมติที่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการประชุมคครั้งที่ 10/2551 ที่เลือกผู้ช่วยศาสตราจารย์วิลาศ พุ่มพิมล ผู้ฟ้องคดี เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ได้สิ้นผลไปโดยเงื่อนไขของมตินั้นเอง การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มิได้ดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้ฟ้องคดีเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง จึงมิได้เป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดแต่อย่างใด ซึ่งคดีนี้สภามหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง สามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ ภายใน 30 วัน