xs
xsm
sm
md
lg

เอ็นจีโอกาญจน์ตรวจสอบช้างพิการหวั่นนำช้างป่ามาสวมรอย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กาญจนบุรี - เอ็นจีโอกาญจนบุรี รุดตรวจสอบช้างพิการราคากว่า 4 แสนบาท ที่ “ม.มหิดล” ตำบลท่าเสา อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี หวั่นนำช้างป่ามาสวมรอย

วันนี้ (29 ธ.ค.) เวลา 16.30 น.นางภินันทน์ โชติรสเศรณี ประธานกลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ ได้เดินทางเข้าพบ นายเชาวลิต นาคทอง รองคณบดีฝ่ายวิทยาเขต รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลปศุสัตว์และสัตว์ป่า ม.มหิดล ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี และนายสัตวแพทย์ สราวุฒิ ทักษิโณรส เพื่อขอข้อมูลความเป็นมาของช้างเพศเมีย หรือ พังกาญจนา อายุประมาณ 27-30 ปี ซึ่งเจ้าของช้างตัวดังกล่าวได้ซื้อมาจากบ้านพุน้ำร้อน ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นเขตติดต่อกับชายแดนประเทศพม่า โดยซื้อมาในราคาที่สูงมาก คือ ตัวละ 4.3 แสนบาท ทั้งๆ ที่ ช้างพังเพศเมียตัวนี้มีอายุมากแล้ว ซ้ำยังมีบาดแผลที่สาหัสเต็มบริเวณร่างกาย ส่วนขาซ้ายด้านหลังยังพิการอีกด้วย

นายเชาวลิต นาคทอง รักษาการโรงพยาบาลปศุสัตว์และสัตว์ป่า เปิดเผยว่า ทางโรงพยาบาลได้รับตัวช้างพังตัวเมียที่ทางปศุสัตว์จังหวัดกาญจนบุรี ทำหนังสือมาให้ช่วยเหลือในการรักษามาตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค.2551 เวลาประมาณ 16.30 น.รวมการรักษาช้างพังตัวนี้มาแล้ว 8 วัน โดยมี นายสัตวแพทย์ สราวุฒิ ทักษิโณรส เป็นผู้ทำการรักษา จนขณะนี้อาการของช้างพังตัวดังกล่าวมีอาการดีขึ้นตามลำดับ

นายเชาวลิต เผยต่อว่า สำหรับเจ้าของช้างพัง กาญจนา ชื่อ นายบุญธรรม ศาลางาม อายุประมาณ 40 ปี อยู่หมู่ 9 ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ซึ่งการที่ทางกลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ มีความเป็นห่วง ว่า ช้างตัวดังกล่าวอาจจะเป็นช้างป่าที่มีขบวนการค้าช้างลักลอบจับช้างป่า แล้วนำมาเลี้ยงจนช้างเชื่อง แล้วนำมาขอจดทะเบียนทำตั๋วรูปพรรณซึ่งปัญหาเหล่านี้ทางโรงพยาบาลปศุสัตว์และสัตว์ป่า มีหน้าที่รักษาสัตว์ทุกชนิดที่ได้รับบาดเจ็บ จึงอยากให้หน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องช้างป่า เข้ามาช่วยกันพิสูจน์ให้ได้ว่า ช้างพังกาญจนา นั้นเป็นช้างป่าจริงหรือไม่

ด้าน นายสัตวแพทย์ สราวุฒิ ทักษิโณรส แพทย์ผู้ทำการรักษาเปิดเผยถึงอาการของช้างพัง กาญจนา ว่า เนื่องจากช้างตัวดังกล่าวนั้นได้รับบาดเจ็บตามบริเวณร่างกายหลายจุดด้วยกัน ซึ่งจุดที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ บาดแผลบริเวณปลายของงวง ที่เป็นแผลขนาดใหญ่ยาวประมาณ 10 ซม.เหมือนถูกของมีคม บริเวณโหนกหัวทั้งด้านซ้ายและด้านขวา มีแผลที่ใหญ่และมีหนองไหลออกมาตลอดเวลา และบริเวณขาหลังด้านซ้ายลักษณะก่อนนำมารักษานั้นคล้ายๆ กับ ว่า ขาอาจจะหัก หรือไม่กระดูกก็แตก แต่เนื่องจากว่ากระดูกขานั้นมันเชื่อมเข้าติดกันแล้ว แต่ก็ยังทำให้ขางอ ยากต่อการเดิน ส่วนบาดแผลจุดเล็กๆ นั้นได้ทายาม่วงเพื่อรักษา

ด้าน นางภินันทน์ โชติรสเศรณี ประธานกลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ กล่าวว่า ตนทราบว่า มีช้างเพศเมีย ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเจ้าของได้นำช้างมารักษาที่โรงพยาบาลปศุสัตว์และสัตว์ป่า และยังรู้อีกว่า ช้างตัวดังกล่าวนั้นมีการซื้อขายกันที่ชายแดนบ้านพุน้ำร้อน ซึ่งติดกับประเทศพม่า ซึ่งก่อนหน้านั้น เจ้าของช้างได้นำช้างตัวดังกล่าวไปจดทะเบียน เพื่อทำตั๋วรูปพรรณช้างให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้ช้างตัวดังกล่าวนั้นกลายเป็นช้างบ้าน ซึ่งสิ่งที่ตนสงสัยมากที่สุด คือ การออกใบตั๋วรูปพรรณของช้าง

ถ้าหากเป็นช้างบ้านที่เลี้ยงกันมาตั้งแต่เล็กจะจดทะเบียนทำตั๋วรูปพรรณอายุประมาณ 10 เท่านั้น แต่ช้างพังเพศเมียตัวนี้ ทำไมถึงต้องมาทำตั๋วรูปพรรณตอนอายุเกือบ 30 ปีเข้าไปแล้วและหน่วยงานราชการที่ออกตั๋วให้กับเจ้าของช้างนั้นได้พิสูจน์ความเป็นมาของช้างบ้างหรือไม่ สำหรับเรื่องช้างตัวนี้ ตนอยากให้หน่วยงานที่มีความสามารถช่วยกันลงมาพิสูจน์ให้ได้ว่า เป็นช้างป่าหรือช้างบ้านกันแน่

ด้าน นายบุญธรรม ศาลางาม เจ้าของช้างตัวดังกล่าว บอกว่า ตนเดินทางไปซื้อช้างตัวดังกล่าวมาจากบ้านพุน้ำร้อน ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ที่มีเขตพื้นที่ติดกับชายแดนประเทศพม่า ในราคา 4.3 แสนบาท และช้างตัวดังกล่าวนั้นกำลังตั้งท้องแต่ไม่แน่ใจว่าตั้งท้องได้กี่เดือน และจะนำช้างไปเลี้ยงต่อที่ มูลนิธิเขาลูกช้าง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า ช้างตัวดังกล่าวนั้นมีการซื้อขายกันที่ชายแดนไทย-พม่า ที่บ้านมอท่า จังหวัดมะริดทวาย ประเทศพม่า บริเวณเขตรอยต่อตรงข้ามกับอำเภอสวนผึ้ง จ.ราชบุรี ซึ่งขบวนการไล่ล่าช้างป่า มี นายซอยี อดีตผู้ใหญ่บ้านบ้านมอท่า เป็นนายหน้าค้าช้างป่าซึ่งจะทำตามใบสั่งของนายทุน

ด้าน นายเริงศักดิ์ มหาวินิจฉัยมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี หลังจากได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำการสอบสวนเรื่องการออกตั๋วรูปพรรณว่า มีการออกให้ตามขั้นตอนหรือไม่ โดยมอบหมายให้ นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรธณะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธาน ส่วนเรื่องของช้างที่ไม่สบายและได้รับบาดเจ็บนั้นให้ทางเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลปศุสัตว์และสัตว์ป่าดูแลต่อไป

กำลังโหลดความคิดเห็น