ปราจีนบุรี - ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออก และรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี ขอให้พรรคพลังประชาชนพิจารณาคนอื่นแทน “สมัคร” เป็นนายกรัฐมนตรี ชี้ ภาวะฉุกเฉินกระทบการลงทุนอุตสาหกรรม
วันนี้ (11 ก.ย.) นายชาญชัย จินดาสถาพร ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออก และรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปราจีนบุรี กล่าวว่า จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเป็นพิธีกรรายการ “ชิมไปบ่นไป” และรายการ “ยกโขยงหกโมงเช้า” นั้น เห็นว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิ์นายกฯสมัคร และหากพรรคพลังประชาชน มีมติจะนำ นายสมัคร กลับมา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เหมือนการสวนกระแสประชาชน แม้จะสามารถเป็นได้ตามกฎหมาย ถ้าหากจะรออีกพักหนึ่งแล้วกลับมาใหม่จะดีกับบ้านเมือง เพราะยังอีกกลุ่มหนึ่งยังชุมนุมอยู่ จะได้ไม่วุ่นวายกับบ้านเมือง
“ตอนนี้ควรรอให้ทุกอย่างดีขึ้น เชื่อว่า ในการจัดทีมฝ่ายบริหารใหม่ หรือหากยุบสภาเลือกตั้งใหม่ พรรคพลังประชาชนที่เป็นพรรคใหญ่ย่อมกลับมาแน่นอน ส่วนตัวบุคคลที่จะเลือกใครมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายสมัคร นั้นแล้ว แต่พรรคพลังประชาชน” นายชาญชัย กล่าว
พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า ในประเด็นผลการประกาศภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลที่ผ่านมานั้น กระทบต่อภาวะการลงทุนอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกอย่างมาก (สภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออกรวม 9 จังหวัดประกอบด้วย จ.สมุทรปราการ, ฉะเชิงเทรา, ตราด, ชลบุรี, นครนายก, สระแก้ว, จ.ชลบุรี ระยอง) บรรยากาศการลงทุนต่างชาติไม่เชื่อมั่นตอนนี้เศรษฐกิจประเทศไทย และดัชนีเชื่อมั่นลดลงอย่างมาก ทำให้ทุกภาคส่วนมีปัญหา ที่ขณะนี้การเมืองไม่นิ่ง ความมั่นคงและเศรษฐกิจตามมา อยากฝากรัฐบาลและทุกภาคส่วน ประคับประคองบ้านเมืองให้ไปตลอดรอดฝั่ง” นายชาญชัย กล่าวในที่สุด
