มหาสารคาม - นักวิชาการย้ำสื่อต้องใช้คำศัพท์ใหม่กรณีอดีตนายกฯ ทักษิณเป็นการ “หนีคดีอาญา” ไม่ใช่ “ลี้ภัยทางการเมือง” ทั้งการออกแถลงการณ์เป็นการละเมิดศาลชัดเจน แนะนักวิชาการ-นักกฏหมายอย่าป้องคนผิดให้คำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นหลัก เชื่อหลังพลังประชาชนถูกยุบ ตั้งพรรคใหม่กินชาติต่อ แรงศรัทธาฐานคะแนนไม่เท่าเดิม
รศ.ดร.สุทธิพงศ์ หกสุวรรณ ประธานสมาพันธ์นักวิชาการเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการหลบหนีคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในขณะนี้ว่า ไม่อยากเห็นสื่อใช้คำว่า “เป็นการลี้ภัยทางการเมือง” เนื่องจากตอนนี้ยังไม่ใช่เรื่องของการขอลี้ภัย ถือเป็นพฤติกรรม “หนีคดี” ของคนที่ถูกดำเนินคดีอาญา อยากให้สื่อใช้คำศัพท์ให้ถูกต้องชัดเจน มองในข้อเท็จจริงจะพบว่าการกลับมาสู้คดี หลังจากที่พรรคพลังประชาชนได้เป็นแกนนำรัฐบาล เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวมั่นใจว่าจะได้เปรียบในด้านคดี
ขณะที่เหตุการณ์ทนายความให้สินบนเจ้าหน้าที่ศาลเป็นถุงขนม 2 ล้านบาทเองก็ใช้ไม่ได้ผล ดอกผลไม่งอก ทางอดีตนายกฯก็เห็นแล้วว่าชะตากรรมจะเป็นอย่างไร อยากให้พิจารณาพฤติกรรมแวดล้อมเหล่านี้ให้ดี รวมทั้งนักวิชาการผู้เกี่ยวข้องด้านกฎหมายก็ควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ไม่ใช่ชี้นำหรือเบี่ยงเบนประเด็นเพื่อปกป้องคนที่กระทำผิดต่อประเทศชาติ
รศ.ดร.สุทธิพงศ์ กล่าวถึงกรณีแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเห็นว่าไม่ใช่การถอย แต่เป็นการหนีไปเพื่อตั้งหลัก ท่ามกลางการสร้างเงื่อนไขหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการกล่าวร้ายต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นการละเมิดศาลอย่างชัดเจน และมีการกล่าวฝากไว้ผู้สนับสนุนให้รอคอยอีกไม่นานจะกลับมา ซึ่งมองแล้วเป็นการวางเงื่อนไขทางสังคม-การเมือง ใครที่คิดว่าการหนีออกไปของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำให้เรื่องต่างๆ ยุติลงคงไม่ใช่
“พฤติกรรมที่แสดงออกไม่ใช่การถอย แต่เป็นการตั้งหลัก ส่วนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนไม่อยากคาดหวังเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ คงเห็นแล้วว่าประเทศที่เลือกไปนั้น ค่อนข้างมีความมั่นคงต่อตนเอง แต่ก็ไม่แน่เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ต้องติดตามดู สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดก็อาจจะเกิดขึ้นก็ได้” รศ.ดร.สุทธิพงศ์ กล่าว และว่า
อยากฝากผู้ที่เกี่ยวข้องในบ้านเมืองให้ทำความเข้าใจในประเด็นหลักๆ คือ 1.พ.ต.ท.ทักษิณทำผิดกฎหมายจริงหรือไม่ 2.ความขัดแย้งในเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ รัฐบาลไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวเพื่อฟอกคนผิด ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและละเอียดอ่อนมาก อยากให้เห็นแก่ประเทศชาติ ทำในสิ่งที่ควรทำ ใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับกรรมที่ก่อขึ้น
สำหรับประเด็นการเตรียมพรรคการเมืองใหม่ รองรับไว้หากพรรคพลังประชาชนถูกยุบนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเกมการเมืองต้องมีแผนสำรองอยู่แล้ว แต่ถามว่าความเชื่อมโยงระหว่างพรรคเดิมคือตั้งแต่พรรคไทยรักไทย มาเป็นพรรคพลังประชาชน แล้วหลังจากนี้จะเปลี่ยนไปเป็นพรรคอะไรก็แล้วแต่ ความเข้มข้น ภาพลักษณ์คงจางไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม ส.ส.ที่มีปัญหาภายในพรรค ซึ่งเห็นอยู่แล้วว่าขณะนี้มีการแตกตัวออกไป เพราะเขาเหล่านั้นไม่ได้สวามิภักดิ์ด้วยความภักดี มีเป้าหมายด้านทรัพย์สินเงินทอง
ยิ่งมีข่าวว่า คตส.ส่งเรื่องเพื่อขออายัดทรัพย์ของตระกูลชินวัตร อีกหลายหมื่นล้านด้วยแล้ว ก็จะผลกระทบต่อการส่งท่อน้ำเลี้ยงในมุ้งต่างๆ ชะงักลง ส่วนการดำเนินการทางการเมืองนั้นไม่แน่ใจว่าพรรคใหม่จะสามารถเรียกศรัทธาจากประชาชนได้เหมือนไทยรักไทย หรือพลังประชาชนหรือไม่ เพราะช่วงของความต่อเนื่องทางคดีความจะยังอีกยาวนาน
“อยากให้ประชาชนรับฟังข้อมูลข่าวสารจากหลายๆ ด้านและนำมาวิเคราะห์ ซึ่งการนำเสนอข่าวสารของสื่อบางสื่อในทุกวันนี้เป็นการชี้นำเพียงด้านเดียว ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน ซึ่งจะเกิดความขัดแย้งในสังคมต่อเนื่อง” รศ.ดร.สุทธิพงศ์กล่าว