อุดรธานี - ชาวบ้าน ต.หนองไฮ อ.เมืองอุดรธานี แห่เข้าแจ้งความจับเจ้าอาวาสวัดบ้านโคกกลางหลังแอบขายศาลาการเปรียญที่ มีอายุ 37 ปี ให้กับนายทุน
ผู้สื่อข่าวแจ้งว่า วานนี้ (8 ก.ค.) นายสุนทร เอื้อมเวียง อายุ 71 ปี อยู่บ้านเลขที่ 119/1 หมู่ .8 บ้านโคกลาด ต.หนองไฮ อ.เมือง จ.อุดรธานี อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านโคกลาด พร้อมด้วยคณะกรรมการหมู่บ้านและชาวบ้านจำนวนกว่า 100 คน เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ต.อดุลย์ ศรีทอง สารวัตรคดีอาญา สภ.เมืองอุดรธานี ให้ดำเนินคดีต่อพระมหาอนุสรณ์ ฉายา ปสนุโน อายุ 65 ปี ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดโคกลาด ว่าเจ้าอาวาสคนดังกล่าวได้แอบขายศาลาการเปรียญให้กับนายทุน
จากนั้น พ.ต.ต.อดุลย์ ได้ไปตรวจสอบที่วัด พบศาลาการเปรียญหลังดังกล่าวมีสภาพยกพื้นสูง บางส่วนถูกรื้อหลังคาและฝาผนังไปจนหมดเหลือเพียงแค่ต้นเสาไม้ จำนวน 43 ต้น ที่ยังไม่ได้ถูกถอนออกมา ขณะที่สถานการณ์เริ่มตรึงเครียดขึ้นทุกทีเพราะมีชาวบ้านออกมาชุมนุม
จากการสอบสวนทราบว่า เจ้าอาวาสได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายศาลาการเปรียญ ในราคา 430,000 บาท ให้กับนายทุนชื่อนายวิชัย กิจกุลสวัสดิ์ อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 130 หมู่ .8 ถนนเพชรเกษม ต.ดอนทราย อ.ปากก่อ จ.ราชบุรี โดยได้มัดจำเงินไว้จำนวน 100,000 บาท ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าในการทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันครั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 นั้นที่ผ่านมาไม่มีพยานรับรู้เลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เคยประชุมประมติในหมู่บ้าน โดยมีมติว่าไม่รื้อศาลาการเปรียญไปขาย แต่แล้วเจ้าอาวาสก็แอบทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันเอง
นายสุนทร ได้เปิดเผยว่า ตนเองเคยเป็นเจ้าอาวาสที่วัดแห่งนี้และได้ทำการปลูกสร้างศาลาการเปรียญเมื่อปีพ.ศ. 2514 แล้วตนเองสึกออกมาเมื่อ พ.ศ. 2516 ซึ่งศาลาหลังนี้อายุได้ประมาณ 37 ปี ศาลาแห่งนี้ปกติแล้วจะใช้เป็นที่เอาไว้ทำกิจกรรมบุญประเพณีประจำปีของหมู่บ้าน เช่น เข้าพรรษา ออกพรรษา ทอดกฐิน และยังเอาไว้เป็นที่อบรมจริยธรรมให้แก่เด็กนักเรียนลูกหลานในหมู่บ้านด้วย
นายสุนทร กล่าวต่อว่า เมื่อวันก่อนเห็นรถบรรทุกเข้ามาจอด โดยมีคนเข้ามาทำการรื้อศาลาหลังดังกล่าว จึงได้สอบถามปรากฏว่าเจ้าอาวาสได้ขายศาลาการเปรียญให้กับนายทุน ตนเลยไปแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้าน, คณะกรรมหมู่บ้าน และชาวบ้าน พอทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วชาวบ้านได้พากันแห่เข้ามาแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ขณะที่เจ้าอาวาสได้กล่าวว่า ในการที่ขายศาลาการเปรียญนั้นเพื่อต้องการเงินไปสมทบทุนการสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ สำหรับศาลาการเปลียญหลังใหม่นั้นต้องใช้เงินกว่า 5,000,000 บาท โดยขณะสาลาหลังใหม่ได้ขึ้นเสาไว้แล้ว ส่วนเงินมัดที่ทางนายทุนได้ให้มา จำนวน 100,000 บาท ได้นำไปใช้จ่ายซื้อวัสดุอุปกรณ์ช่างไปจนหมดแล้ว ซึ่งตอนประชุมครั้งแรกนั้น ตนคิดว่าประชามติของชาวบ้าน ยอมให้รื้อศาลาการเปรียญ
อย่างไรก็ตาม พ.ต.ต.อดุลย์ ได้ทำการเจรจากับชาวบ้านอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง จนหาข้อสรุปได้ว่า นายทุนกับเจ้าอาวาส จะร่วมกันรับผิดชอบเรื่องนี้ โดยให้ช่างมาตีราคาซ่อมแซมส่วนที่รื้อออกไป ในราคา 60,000 บาท ให้คืนกลับสู่สภาพเก่า และทำหนังสือสัญญาเอาไว้ ถ้าทำผิดสัญญาข้อตกลง ชาวบ้านจะให้ดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย จึงได้สลายแยกย้ายกันกลับบ้านไป