พะเยา - ปธ.กกต.คาดเลือกตั้ง อบจ.มีร้องเรียนเป็นสีสันตามธรรมเนียมของการเลือกตั้ง ด้าน ผอ.กต.อบจ.ชี้เขตมีผู้สมัครคนเดียวต้องแข่งคะแนน 10% ของบัตรดี ขณะที่ 3 ส.ส.พปช.เมืองกว๊าน เฮ หลังหลุดข้อกล่าวหาทุจริตเลือกตั้ง 23 ธ.ค.50
นายศานิต บุญเรือง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดพะเยา กล่าวถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) พะเยา ที่จะมีขึ้นในวันที่ 13 กรกฎาคม 2551 นี้ว่า สำหรับการเลือกตั้ง ส.อบจ.พะเยา ในครั้งนี้ตนไม่ห่วงเรื่องการร้องคัดค้าน เนื่องจากสังเกตการณ์ สถานการณ์ภาพรวมแล้วพบว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ต่างก็มีเคยผ่านการทำหน้าที่ผู้แทนท้องถิ่นใน อบจ. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มาแล้ว ซึ่งเมื่อต่างก็รู้กฎหมายในการเลือกตั้ง จึงคาดว่าจะมีผู้ที่ยอมรับกติกาในการเลือกตั้งไม่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งซึ่งจะนำไปสู่ประเด็นการร้องเรียนน้อยลง
แต่หากจะมีร้องก็คงจะเป็นการร้องคัดค้าน เพื่อเป็นสีสันโดยปกติของการเลือกตั้งเท่านั้น คงไม่ร้ายแรงอะไรมาก ถ้าไม่มีการร้องคัดค้านเลยก็คงไม่ใช่การเลือกตั้ง แต่ถ้าช่วยกันลดการร้องคัดค้าน ขณะเดียวกันช่วยกันสร้างสรรค์การเมืองท้องถิ่นให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น
นางสาวมุกา ดีวงศ์ษา ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง (ผอ.กต.) ประจำ อบจ.พะเยา กล่าวถึงคะแนนของผู้สมัครในเขตเลือกตั้งที่มีผู้สมัครรายเดียวว่า สำหรับเขตเลือกตั้งที่มีผู้สมัครเพียงคนเดียวมีทั้งหมดจำนวน 6 เขตเลือกตั้ง ซึ่งผู้สมัครในเขตเลือกตั้งดังกล่าว แม้ไม่ต้องแข่งขันกับผู้สมัครอื่นแต่ก็ต้องแข่งขันกับตัวเอง
ที่สำคัญคือจะต้องได้รับคะแนนเป็นจำนวนร้อยละ 10 จากบัตรดีของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นๆ จึงจะสามารถผ่านเกณฑ์คะแนนที่กำหนดไว้ได้ โดยร้อยละ 10 นั้น จะต้องมาจากบัตรดีที่เป็นคะแนนเท่านั้น ไม่นับรวมถึงบัตรเสีย บัตรไม่ประสงค์จะลงคะแนน
ส่วนข้อร้องเรียนการเลือกตั้ง ส.ส.จังหวัดพะเยาเมื่อ 23 ธ.ค.50 ที่ผ่านมานั้น ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดพะเยา กล่าวว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.พรรคพลังประชาชน (พปช.) จำนวน 3 คน คือ นายไพโรจน์ ตันบรรจง หมายเลข 10 นางสาวอรุณี ชำนาญยา หมายเลข 11 และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ หมายเลข 12 ถูกร้องคัดค้านว่า ได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 53 และ มาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 จำนวน 3 ข้อกล่าวหา นั้น
กกต.กลาง ได้มีคำวินิจฉัยสั่งการ ที่ 878/2550 879/2550 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2550 และคำวินิจฉัยสั่งการที่ 6/2551 ลงวันที่ 2 มกราคม 2551 ให้ยกคำร้องคัดค้าน
ปธ.กกต.ประจำจังหวัดพะเยา กล่าวต่อว่า พร้อมกันนี้ กกต.กลาง ได้มีคำวินิจฉัยสั่งการให้ยกคำร้องเรียนเรื่องการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบล (ท.ต.) แม่ใจ อ.แม่ใจ จ.พะเยา เนื่องจากคำวินิจฉัยสั่งการ ของ กกต.กลาง ที่ 642/2550 ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2550 สืบเนื่องจากมีผู้ร้องเรียนเรื่องว่าการเลือกตั้งนายก ทต.แม่ใจ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2550 มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากนายถนิม วงค์ตะวัน ผู้สมัครหมายเลข 2 ซึ่งถูกร้องเรียนได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 จากการดำเนินการสืบสวนสอบสวนและพิจารณาตามระเบียบของ กกต.เลือกตั้งฯ แล้ว กกต.กลาง จึงได้มีคำวินิจฉัยให้ยกคำร้องเรียน
ด้าน นายสุรเกียรติ เพชรประดับ นายก ทต.แม่ใจ กล่าวว่า เมื่อผลสรุปออกมาในลักษณะดังกล่าวตนก็คงต้องยอมรับไปตามกติกา และยอมรับว่ามาตรฐานในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของ กกต.นั้น ได้พิจารณาบนพื้นฐานของการอ้างอิงข้อกฎหมาย ความจึงออกมาในลักษณะดังกล่าว ไม่ติดใจแล้วขอทำงานเพื่อท้องถิ่นแม่ใจและร่วมพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ต่อไปก็พอแล้ว
นายศานิต บุญเรือง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดพะเยา กล่าวถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) พะเยา ที่จะมีขึ้นในวันที่ 13 กรกฎาคม 2551 นี้ว่า สำหรับการเลือกตั้ง ส.อบจ.พะเยา ในครั้งนี้ตนไม่ห่วงเรื่องการร้องคัดค้าน เนื่องจากสังเกตการณ์ สถานการณ์ภาพรวมแล้วพบว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ต่างก็มีเคยผ่านการทำหน้าที่ผู้แทนท้องถิ่นใน อบจ. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มาแล้ว ซึ่งเมื่อต่างก็รู้กฎหมายในการเลือกตั้ง จึงคาดว่าจะมีผู้ที่ยอมรับกติกาในการเลือกตั้งไม่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งซึ่งจะนำไปสู่ประเด็นการร้องเรียนน้อยลง
แต่หากจะมีร้องก็คงจะเป็นการร้องคัดค้าน เพื่อเป็นสีสันโดยปกติของการเลือกตั้งเท่านั้น คงไม่ร้ายแรงอะไรมาก ถ้าไม่มีการร้องคัดค้านเลยก็คงไม่ใช่การเลือกตั้ง แต่ถ้าช่วยกันลดการร้องคัดค้าน ขณะเดียวกันช่วยกันสร้างสรรค์การเมืองท้องถิ่นให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น
นางสาวมุกา ดีวงศ์ษา ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง (ผอ.กต.) ประจำ อบจ.พะเยา กล่าวถึงคะแนนของผู้สมัครในเขตเลือกตั้งที่มีผู้สมัครรายเดียวว่า สำหรับเขตเลือกตั้งที่มีผู้สมัครเพียงคนเดียวมีทั้งหมดจำนวน 6 เขตเลือกตั้ง ซึ่งผู้สมัครในเขตเลือกตั้งดังกล่าว แม้ไม่ต้องแข่งขันกับผู้สมัครอื่นแต่ก็ต้องแข่งขันกับตัวเอง
ที่สำคัญคือจะต้องได้รับคะแนนเป็นจำนวนร้อยละ 10 จากบัตรดีของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นๆ จึงจะสามารถผ่านเกณฑ์คะแนนที่กำหนดไว้ได้ โดยร้อยละ 10 นั้น จะต้องมาจากบัตรดีที่เป็นคะแนนเท่านั้น ไม่นับรวมถึงบัตรเสีย บัตรไม่ประสงค์จะลงคะแนน
ส่วนข้อร้องเรียนการเลือกตั้ง ส.ส.จังหวัดพะเยาเมื่อ 23 ธ.ค.50 ที่ผ่านมานั้น ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดพะเยา กล่าวว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.พรรคพลังประชาชน (พปช.) จำนวน 3 คน คือ นายไพโรจน์ ตันบรรจง หมายเลข 10 นางสาวอรุณี ชำนาญยา หมายเลข 11 และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ หมายเลข 12 ถูกร้องคัดค้านว่า ได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 53 และ มาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 จำนวน 3 ข้อกล่าวหา นั้น
กกต.กลาง ได้มีคำวินิจฉัยสั่งการ ที่ 878/2550 879/2550 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2550 และคำวินิจฉัยสั่งการที่ 6/2551 ลงวันที่ 2 มกราคม 2551 ให้ยกคำร้องคัดค้าน
ปธ.กกต.ประจำจังหวัดพะเยา กล่าวต่อว่า พร้อมกันนี้ กกต.กลาง ได้มีคำวินิจฉัยสั่งการให้ยกคำร้องเรียนเรื่องการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบล (ท.ต.) แม่ใจ อ.แม่ใจ จ.พะเยา เนื่องจากคำวินิจฉัยสั่งการ ของ กกต.กลาง ที่ 642/2550 ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2550 สืบเนื่องจากมีผู้ร้องเรียนเรื่องว่าการเลือกตั้งนายก ทต.แม่ใจ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2550 มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากนายถนิม วงค์ตะวัน ผู้สมัครหมายเลข 2 ซึ่งถูกร้องเรียนได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 จากการดำเนินการสืบสวนสอบสวนและพิจารณาตามระเบียบของ กกต.เลือกตั้งฯ แล้ว กกต.กลาง จึงได้มีคำวินิจฉัยให้ยกคำร้องเรียน
ด้าน นายสุรเกียรติ เพชรประดับ นายก ทต.แม่ใจ กล่าวว่า เมื่อผลสรุปออกมาในลักษณะดังกล่าวตนก็คงต้องยอมรับไปตามกติกา และยอมรับว่ามาตรฐานในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของ กกต.นั้น ได้พิจารณาบนพื้นฐานของการอ้างอิงข้อกฎหมาย ความจึงออกมาในลักษณะดังกล่าว ไม่ติดใจแล้วขอทำงานเพื่อท้องถิ่นแม่ใจและร่วมพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ต่อไปก็พอแล้ว
