ศูนย์ข่าวศรีราชา - นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภาคตะวันออก เผยการเติบโตของธุรกิจอสังหาฯ ในพื้นที่เมืองพัทยาช่วงครึ่งปี 51 ไม่น้อยกว่า 50% โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งไทยและต่างชาติเริ่มขยับพื้นที่ลงทุนจากชายหาดพัทยาและจอมเทียน ออกไปยังเขตบ้านอำเภอ บางเสร่ และอำเภอสัตหีบ ส่วนราคาซื้อขายที่ดินบริเวณชายหาดพุ่งสูงถึง 15 ล้านบาทต่อไร่ ระบุบ้านจัดสรรและคอนโดฯที่มีราคาขายตั้งแต่ 8-50 ล้านบาทขึ้นไปส่วนใหญ่มาจากกำลังซื้อของชาวต่างชาติ จี้รัฐบาลเร่งหามาตรการควบคุมสิทธิ์การถือครองสิทธิ์ พร้อมเปิดโอกาสให้ต่างชาติถือครองได้ 100% ในบางโซนเพื่อควบคุมจำนวนถือครองที่แน่ชัดและยังสามารถเรียกเก็บภาษีกลับคืนแผ่นดิน
นางสุภาพ เวต นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภาคตะวันออก เปิดเผยถึงการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์และที่ดินเมืองพัทยาในช่วงครึ่งปีแรก 2551 ว่า ยังมีอย่างต่อเนื่องและเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 พบเติบโตไม่น้อยกว่า 50% ทั้งในส่วนยอดขาย จำนวนโครงการเกิดใหม่ หรือแม้แต่ราคาซื้อขายที่ดินบริเวณชายหาดที่พุ่งสูงกว่า 15 ล้านบาทต่อไร่ และจากความเคลื่อนไหวล่าสุดยังพบว่าบริเวณชายหาดวงศ์อำมาตย์ มีการซื้อ-ขายที่ดินสูงถึงไร่ละ 30 ล้านบาท
โดยสาเหตุที่ทำให้ราคาที่ดินบริเวณชายหาดเมืองพัทยา พุ่งสูงไม่หยุด เป็นเพราะความต้องการที่ดินสำหรับการลงทุนก่อสร้างคอนโดมิเนียม และโรงแรมของกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ทั้งไทยและต่างชาติที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
“จากข้อมูลพบว่าที่ดินหลายแปลงใหญ่ของเมืองพัทยา อยู่ในการครอบครองของนักลงทุนรายใหญ่ทั้งไทยและต่างชาติ โดยช่วงนี้กลุ่มทุนจากประเทศเกาหลี ที่ได้รับส่งเสริมลงทุนอย่างถูกต้องเข้ามาเปิดตัวในเมืองพัทยาค่อนข้างชัดเจน ส่วนที่ดินบริเวณชายหาดขนาด 50-60 ไร่ปัจจุบันมีน้อยลงแล้ว แต่หากเป็นที่ดินขนาด 10-40 ไร่ก็ยังคงพอมีให้เห็น ส่วนโซนที่มีการลงทุนก่อสร้างคอนโดมิเนียม มากสุดก็คือ ชายหาดจอมเทียน และแถวๆ บ้านอำเภอ และบางเสร่ อำเภอสัตหีบ”
อย่างไรก็ตาม แม้ที่ผ่านมารัฐบาลจะพยายามหากฎหมายควบคุมการถือครองสิทธิ์ในการลงทุนด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มทุนต่างชาติทั้งในรูปบริษัทนอมินี รวมทั้งการใช้กฎหมายป้องกันการใช้หญิงไทยถือครองสิทธิ์ในที่ดินและที่อยู่อาศัยในพื้นที่ต่างๆ แทน แต่เมืองพัทยาและหลายเมืองท่องเที่ยวหลักก็ยังพบการเข้ามาลงทุนและถือครองสิทธิ์ของชาวต่างชาติในรูปแบบต่างๆ โดยใช้ช่องโหว่ของกฏหมายอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดยังมีกระแสการเข้ามากว้านซื้อที่ดินของกลุ่มแขกดูไบและคูเวตในเมืองพัทยา ที่ขณะนี้ยังไม่เปิดตัวว่าใช้สิทธิ์ครอบครองผ่านการดำเนินงานในลักษณะใดแต่ก็เป็นที่รู้กันในแวดวงธุรกิจเมืองพัทยา
จี้รัฐบาลจัดโซนถือครองควบคุมจำนวน
นางสุภาพ ให้ความเห็นในกรณีดังกล่าวว่า แม้รัฐบาลจะหามาตรการควบคุมการเข้ามาถือครองสิทธิ์ในที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ แต่ก็ต้องยอมรับว่าหากตัดกำลังซื้อของชาวต่างชาติออกไปจนหมด ตลาดที่อยู่อาศัยในหัวเมืองท่องเที่ยวหลักทั้งภูเก็ต พัทยา หรือสมุย จะกลายเป็นศูนย์ในทันที เพราะเมื่อดูจากสถิติแล้วพบว่ากำลังซื้อที่อยู่อาศัยที่มีราคาขายตั้งแต่ 8 ล้านบาทขึ้นไปจนถึง 50 ล้านบาทเกือบทั้งหมดเป็นของชาวต่างชาติ
“รัฐบาลน่าจะทำอะไรบางอย่างเพื่อควบคุมการเข้ามายึดครองสิทธิ์ในที่ดินและที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติให้ชัดเจน แต่ถึงจะทำตอนนี้มันก็เป็นวัวหายล้อมคอกแล้ว ทางที่ดีรัฐบาลควรออกนโยบายกำหนดโซนนิ่งให้ชาวต่างชาติมีสิทธิ์ถือครองได้ 100% และกำหนดว่าแต่ละพื้นที่จะปล่อยให้มีการถือครองสิทธิ์ได้มากน้อยเพียงใด ที่เสนอให้เป็นเช่นนี้ก็เพราะนอกจากจะสามารถควบคุมจำนวนการถือครองสิทธิ์ของชาวต่างชาติ โดยไม่ต้องกังวลว่าเขาจะใช้หญิงไทยหรือบริษัทนอมินีเข้ามาถือครอง และยังจะสามารถจัดเก็บภาษีโรงเรือนของชาวต่างชาติกลุ่มนี้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะชาวต่างชาติเองก็ไม่สบายใจนักที่จะต้องซื้อที่อยู่อาศัยแบบถือสิทธิ์หลบๆ ซ่อนๆ” นางสุภาพ กล่าว
นางสุภาพ ยังเผยอีกว่า แม้จะเป็นเรื่องน่ายินดีที่การขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองพัทยายังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ สถานการณ์การเข้ามาถือครองสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยโดยอาศัยช่องว่างทางกฏกหมายของกลุ่มชาวต่างชาติในหัวเมืองใหญ่ต่างๆ ซึ่งหากรัฐบาลสามารถหาแนวทางควบคุมสิทธิ์เหล่านี้และผลักดันให้การถือสิทธิ์ของชาวต่างชาติเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมายก็จะลดปัญหาการใช้บริษัทนอมินีที่รัฐไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจน ที่สำคัญยังเป็นการใช้มาตรการทางภาษีเข้ามาควบคุมกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในไทยในลักษณะที่ไม่ถูกต้องอีกด้วย
“ในส่วนคอนโดฯ ก็เช่นกันเมื่อตรวจสอบดูก็พบว่าคอนโดฯที่มีราคาขายตั้งแต่ตารางเมตรละ 1 แสนบาทขึ้นไปส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่ซื้อและหากเรากำหนดว่าสัดส่วนการถือครองได้เพิ่มจาก 49% เป็นอัตราที่มากกว่า โดยชาวต่างชาติเหล่านี้จะต้องเสียภาษีโรงเรือนในสัดส่วนที่สูงกว่าคนไทยคิดว่าต่างชาติเขาก็ยินดี เพราะกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวหลัก ส่วนใหญ่เขาจะมองหาธุรกิจด้วย เมื่อมีธุรกิจก็ต้องหาที่อยู่อาศัยหากเราใช้มาตรการทางภาษีเข้ามาควบคุมจะทำให้เราตรวจสอบและจำกัดจำนวนการถือครองสิทธิ์ของต่างชาติได้อย่างชัดเจน” นางสุภาพ กล่าว