ศูนย์เชียงใหม่ - วงการค้าวัสดุก่อสร้างเชียงใหม่ป่วน หลังถูกมรสุมต้นทุนสินค้าปรับราคาขึ้นเป็นรายวันรายใหญ่ๆ ยืนต้านกระแสไหว เพราะสายป่านยาวส่วนร้านค้าขนาดกลางเตรียมปิดกิจการเป็นแถว เหตุขาดกระแสเงินสดหมุนเวียนแถมต้องรับภาระสต๊อก ล่าสุดโดนกระหน่ำด้วยร้านค้ารายย่อยที่สั่งของด้วยเครดิตแล้ว ปิดกิจการหนีสูญเงินกันระนาวรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากวงการค้าวัสดุก่อสร้างจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยถึงภาวะการค้าวัสดุก่อสร้างในจังหวัดเชียงใหม่ขณะนี้ว่าอยู่ในภาวะย่ำแย่อย่างมากโดยเฉพาะร้านค้าขนาดกลางเนื่องจากต้องแบกรับภาระสต๊อกทั้งปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น สีและอื่นๆ อีกมากมายทำให้เงินทุนหมุนเวียนจมอยู่กับสินค้าจำนวนมาก นอกจากนี้แล้วกำไรจากส่วนต่างที่พอจะได้รับมาบ้างก็เป็นจำนวนเล็กน้อยไม่เหมือนกับในอดีต
นอกจากนี้ ร้านค้าวัสดุก่อสร้างในเชียงใหม่ โดยเฉพาะร้านค้าระดับกลางกำลังตกอยู่ในภาวะเดียวกันหมดเพราะมีร้านค้าวัสดุก่อสร้างขนาดเล็ก หรือร้านค้าย่อยที่มาเปิดกิจการใหม่อยู่บริเวณถนนวงแหวนรอบกลาง โดยเปิดกิจการขายวัสดุก่อสร้างประมาณ 2-3 ปี ซึ่งช่วงแรกก็จะซื้อ-ขายหรือสั่งสินค้ากับร้านวัสดุขนาดใหญ่ โดยช่วงแรกจะเป็นการซื้อขายด้วยเงินสด แต่เมื่อรู้จักกันนานขึ้นก็มีการให้เครดิตกัน จนเมื่อเกิดสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ ทำให้ร้านค้าย่อยเองไม่สามารถหาเงินมาชำระค่าสินค้าได้ สุดท้ายก็พากันปิดกิจการไป ทำให้ขณะนี้ร้านค้าวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ๆ ไม่ต่ำกว่า 5 รายต้องสูญเงินดังกล่าวไปรวมมูลค่าแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า นอกจากปัญหาดังกล่าวแล้วยังต้องเผชิญกับปัญหาของผู้รับเหมาก่อสร้างเองก็ไม่สามารถเข้าไปรับงานก่อสร้างขนาดใหญ่ได้ บางรายต้องให้ร้านค้าวัสดุก่อสร้างที่พอจะรู้จักกันเป็นเวลานาน และไว้เนื้อเชื่อใจกันพอสมควรให้เป็นผู้ไปการันตีแก่เจ้าของโครงการ หรือกับหน่วยราชการที่เข้าไปรับเหมา ซึ่งผู้ค้าวัสดุส่วนใหญ่ก็จะการันตีให้แต่เฉพาะกับผู้รับเหมาที่เคยทำธุรกิจด้วยกันเป็นเวลานานเท่านั้น เพราะสถานการณ์เช่นนี้ต่างก็รู้กันดีว่าไม่น่าไว้วางใจเท่าใดนัก
ด้านนายฉัตรชัย ตรีอารียะพงศ์ ที่ปรึกษาชมรมผู้ค้าวัสดุก่อสร้างจังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า จากการปรึกษาหารือกับผู้รับเหมาก่อสร้างในจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนใหญ่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การเข้าไปรับเหมาก่อสร้างตามโครงการบ้านจัดสรรต่างๆ ส่วนใหญ่จะรับเหมาเฉพาะค่าแรงงานเท่านั้นส่วนค่าวัสดุก่อสร้าง จะให้เจ้าของโครงการเป็นผู้จัดซื้อเอง สำหรับสถานการณ์บ้านจัดสรรในขณะนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นบ้านล๊อตเก่าที่ยังก่อสร้างค้างอยู่แต่ก็จะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้น
“ปัญหาที่ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องของต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างเพิ่ม หรือต้นทุนเรื่องอื่นๆ เพิ่มขึ้น แต่เป็นเรื่องของสถาบันการเงินที่ไม่ยอมปล่อยสินเชื่อให้แก่โครงการต่างๆ มากกว่า แม้บางโครงการจะมีลูกค้าจองบ้างแล้วก็ตาม แต่โครงการไม่มีเงินทุนหมุนเวียนมาก่อสร้างบ้านทุกอย่างจึงหยุดชะงัก”
นอกจากนี้ โครงการบ้านจัดสรรบางราย ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ส่วนมากจะใช้วิธีตกลงค่าก่อสร้างกับผู้รับเหมา 2 ส่วน คือ การก่อสร้างที่ใช้วิธีจ้างเหมาแบบ เทิร์นคีย์ โดยใช้ผู้รับเหมารายใหญ่ที่ได้สต๊อกเหล็กเส้นไว้ล่วงหน้าแล้ว และ โครงการที่จ้างผู้รับเหมารายเล็กใช้วิธีตกลงราคาตามต้นทุนจริง เนื่องจากเป็นการก่อสร้างบ้านแบบแบ่งแยกเป็นเฟสๆ
นายฉัตรชัย กล่าวต่อว่า จากการที่ได้พูดคุยกับผู้รับเหมาที่มีการคอนแทรกต์กันมีการคาดการณ์กันว่า เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง อาจต้องพิจารณาปรับขึ้นค่าก่อสร้างให้แก่ผู้รับเหมาอีกประมาณ 4-5% โดยจะมีการเจรจาราคาค่าก่อสร้างกันในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ และจากต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นอาจมีการปรับขึ้นราคาบ้านเป็นรายทำเล เช่น ในทำเลที่มีคู่แข่งไม่มากนักอาจพิจารณาปรับขึ้นราคาได้บ้าง เฉลี่ยไม่เกิน 2-5% เพื่อไม่ให้กระทบกำลังซื้อ
แหล่งข่าวจากวงการค้าวัสดุก่อสร้างจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยถึงภาวะการค้าวัสดุก่อสร้างในจังหวัดเชียงใหม่ขณะนี้ว่าอยู่ในภาวะย่ำแย่อย่างมากโดยเฉพาะร้านค้าขนาดกลางเนื่องจากต้องแบกรับภาระสต๊อกทั้งปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น สีและอื่นๆ อีกมากมายทำให้เงินทุนหมุนเวียนจมอยู่กับสินค้าจำนวนมาก นอกจากนี้แล้วกำไรจากส่วนต่างที่พอจะได้รับมาบ้างก็เป็นจำนวนเล็กน้อยไม่เหมือนกับในอดีต
นอกจากนี้ ร้านค้าวัสดุก่อสร้างในเชียงใหม่ โดยเฉพาะร้านค้าระดับกลางกำลังตกอยู่ในภาวะเดียวกันหมดเพราะมีร้านค้าวัสดุก่อสร้างขนาดเล็ก หรือร้านค้าย่อยที่มาเปิดกิจการใหม่อยู่บริเวณถนนวงแหวนรอบกลาง โดยเปิดกิจการขายวัสดุก่อสร้างประมาณ 2-3 ปี ซึ่งช่วงแรกก็จะซื้อ-ขายหรือสั่งสินค้ากับร้านวัสดุขนาดใหญ่ โดยช่วงแรกจะเป็นการซื้อขายด้วยเงินสด แต่เมื่อรู้จักกันนานขึ้นก็มีการให้เครดิตกัน จนเมื่อเกิดสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ ทำให้ร้านค้าย่อยเองไม่สามารถหาเงินมาชำระค่าสินค้าได้ สุดท้ายก็พากันปิดกิจการไป ทำให้ขณะนี้ร้านค้าวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ๆ ไม่ต่ำกว่า 5 รายต้องสูญเงินดังกล่าวไปรวมมูลค่าแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า นอกจากปัญหาดังกล่าวแล้วยังต้องเผชิญกับปัญหาของผู้รับเหมาก่อสร้างเองก็ไม่สามารถเข้าไปรับงานก่อสร้างขนาดใหญ่ได้ บางรายต้องให้ร้านค้าวัสดุก่อสร้างที่พอจะรู้จักกันเป็นเวลานาน และไว้เนื้อเชื่อใจกันพอสมควรให้เป็นผู้ไปการันตีแก่เจ้าของโครงการ หรือกับหน่วยราชการที่เข้าไปรับเหมา ซึ่งผู้ค้าวัสดุส่วนใหญ่ก็จะการันตีให้แต่เฉพาะกับผู้รับเหมาที่เคยทำธุรกิจด้วยกันเป็นเวลานานเท่านั้น เพราะสถานการณ์เช่นนี้ต่างก็รู้กันดีว่าไม่น่าไว้วางใจเท่าใดนัก
ด้านนายฉัตรชัย ตรีอารียะพงศ์ ที่ปรึกษาชมรมผู้ค้าวัสดุก่อสร้างจังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า จากการปรึกษาหารือกับผู้รับเหมาก่อสร้างในจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนใหญ่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การเข้าไปรับเหมาก่อสร้างตามโครงการบ้านจัดสรรต่างๆ ส่วนใหญ่จะรับเหมาเฉพาะค่าแรงงานเท่านั้นส่วนค่าวัสดุก่อสร้าง จะให้เจ้าของโครงการเป็นผู้จัดซื้อเอง สำหรับสถานการณ์บ้านจัดสรรในขณะนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นบ้านล๊อตเก่าที่ยังก่อสร้างค้างอยู่แต่ก็จะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้น
“ปัญหาที่ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องของต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างเพิ่ม หรือต้นทุนเรื่องอื่นๆ เพิ่มขึ้น แต่เป็นเรื่องของสถาบันการเงินที่ไม่ยอมปล่อยสินเชื่อให้แก่โครงการต่างๆ มากกว่า แม้บางโครงการจะมีลูกค้าจองบ้างแล้วก็ตาม แต่โครงการไม่มีเงินทุนหมุนเวียนมาก่อสร้างบ้านทุกอย่างจึงหยุดชะงัก”
นอกจากนี้ โครงการบ้านจัดสรรบางราย ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ส่วนมากจะใช้วิธีตกลงค่าก่อสร้างกับผู้รับเหมา 2 ส่วน คือ การก่อสร้างที่ใช้วิธีจ้างเหมาแบบ เทิร์นคีย์ โดยใช้ผู้รับเหมารายใหญ่ที่ได้สต๊อกเหล็กเส้นไว้ล่วงหน้าแล้ว และ โครงการที่จ้างผู้รับเหมารายเล็กใช้วิธีตกลงราคาตามต้นทุนจริง เนื่องจากเป็นการก่อสร้างบ้านแบบแบ่งแยกเป็นเฟสๆ
นายฉัตรชัย กล่าวต่อว่า จากการที่ได้พูดคุยกับผู้รับเหมาที่มีการคอนแทรกต์กันมีการคาดการณ์กันว่า เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง อาจต้องพิจารณาปรับขึ้นค่าก่อสร้างให้แก่ผู้รับเหมาอีกประมาณ 4-5% โดยจะมีการเจรจาราคาค่าก่อสร้างกันในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ และจากต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นอาจมีการปรับขึ้นราคาบ้านเป็นรายทำเล เช่น ในทำเลที่มีคู่แข่งไม่มากนักอาจพิจารณาปรับขึ้นราคาได้บ้าง เฉลี่ยไม่เกิน 2-5% เพื่อไม่ให้กระทบกำลังซื้อ
