xs
xsm
sm
md
lg

กระอักพิษน้ำมันรถบรรทุกอีสานเจ๊ง! แห่ขายกิจการครึ่งร้อย- จอดรถทิ้งกว่า 4,000 คัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รถบรรทุกอีสานกระอักพิษน้ำมันแพงเดือดร้อนหนักจอดสนิทแล้วกว่า 4,000 คัน ผู้ประกอบเจ๊งเลิกกิจการร่วม 50 รายขายรถทิ้งกว่า 2,000 คัน วันนี้ ( 22 พ.ค.)
ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - รถบรรทุกอีสานกระอักพิษน้ำมันแพงเดือดร้อนหนักจอดสนิทแล้วกว่า 4,000 คัน ผู้ประกอบเจ๊งแห่เลิกกิจการขายรถทิ้งร่วม 50 ราย คาดน้ำมันพุ่งต่อเนื่องจ่อหยุดวิ่งอีก 1,000 คัน ด้านนายกสมาคมฯ จี้รัฐบาลให้ความสำคัญภาคการขนส่งเลิกนิ่งดูดายเหมือนที่ผ่านมา แนะช่วยเหลือเรื่องแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการรถบรรทุกลงทุนเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนอย่างจริงจัง

วันนี้ (22 พ.ค.) นายปราโมทย์ กงทอง นายกสมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าภาคอีสาน เปิดเผยว่าจากภาวะราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก จากที่ผู้ประกอบการขนส่งเป็นสมาชิกของสมาคมฯ จำนวน 449 ราย มีรถบรรทุกขนสินค้าในสังกัดกว่า 10,000 คันนั้น ขณะนี้อยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่อย่างมาก ต้องหยุดวิ่งรถรับส่งสินค้าชั่วคราวไปแล้วร่วม 40% หรือประมาณ 4,000 คันและผู้ประกอบการอีกกว่า 10% หรือร่วม 50 ราย จำเป็นต้องเลิกกิจการขายรถทิ้งให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ยังมีสายป่านยาว และหันไปประกอบอาชีพอย่างอื่นเนื่องจากทนแบกรับภาระขาดทุนไม่ไหว

นายปราโมทย์ กล่าวอีกว่า หากราคาน้ำมัน โดยเฉพาะดีเซลยังคงพุ่งสูงต่อเนื่องแตะที่ลิตรละ 40 บาท ผู้ประกอบการด้านการขนส่งจะต้องหยุดการวิ่งรถเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 1,000 คัน หรือกว่า 50 % ของจำนวนรถบรรทุกที่มีอยู่ จากเดิมที่หยุดวิ่งแล้วรวมเป็นกว่า 5,000 คันอย่างแน่นอน

“ทางสมาคมฯ พยายามหาแนวทางในการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยกันเองอย่างเต็มที่ เพราะเรารับไม่ได้กับราคาน้ำมันที่แพงมาก ตั้งแต่ราคาอยู่ที่ลิตรละ 25 บาทก็อยู่กันแทบไม่ไหวแล้ว และที่ผ่านมาได้ทำหนังสือไปยังรัฐบาลหลายครั้งก็ไม่ได้รับการเหลียวแลเลย พวกเราเข้าใจว่าวันนี้ทุกภาคส่วนได้รับความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นทั้งนั้น แต่ภาคการขนส่งถือเป็นส่วนสำคัญที่รัฐบาลควรจะให้ความสำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญของการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ หากภาคการขนส่งอยู่ไม่ได้ภาคส่วนอื่น ๆ ก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน” นายปราโมทย์ กล่าว

นายปราโมทย์ กล่าวอีกว่า ผู้ประกอบการที่สามารถดำเนินธุรกิจมาได้จนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากเลิกไม่ได้และเป็นกิจการขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ประกอบการเพียงแค่การบรรทุกขนส่งสินค้า ยังมีธุรกิจเกี่ยวเนื่องอย่างอื่นที่มาจุนเจือกัน อีกทั้งผู้ประกอบการเองพยายามปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทุกอย่าง ทั้งเรื่องการปรับองค์กรภายใน ลดจำนวนคน, การบริหารจัดการรถวิ่งเที่ยวเปล่า ด้วยการลดเที่ยววิ่งลง การใช้รถบรรทุกที่เหมาะกับปริมาณสินค้า และ การขอปรับค่าขนส่งจากผู้ว่าจ้าง รวมถึงการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ เพิ่มเพลาเพื่อให้รับน้ำหนักได้มากขึ้น และสุดท้ายก็ คื การหันไปใช้เชื้อเพลิงที่เป็น พลังงานทดแทน

แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัญหาอยู่อีก คือผู้ประกอบการเข้าไม่ถึงแหล่งทุน ที่จะให้การสนับสนุนเนื่องจากการติดตั้งแก๊ส NGV และ ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ นั้น ต้องลงทุนค่อนข้างสูง เฉพาะติดตั้งแก๊ส NGV และนำเครื่องยนต์เก่ามาดัดแปลง ค่าใช้จ่ายประมาณ 5-6 แสนบาท ต่อรถบรรทุก 1 คัน แต่หากเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่เป็นเครื่อง CNG พร้อมติดตั้งแก๊ส ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1-1.2 ล้านบาท/คัน นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องของสถานีบริการแก๊ส NGV ไม่ครอบคลุมเส้นทางเพียงพอ และคุณภาพแก๊สที่ไม่คงที่

ทางสมาคมฯ ได้ทำหนังสือขอความช่วยเหลือจากกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพลังงาน กรณีการที่จะให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนหรือสินเชื่อเงินกู้ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ สำหรับการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์และติดตั้งระบบแก๊ส NGV แต่จนถึงขณะนี้ก็ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาลเลย อย่างไรก็ตามหากรัฐช่วยเหลือไม่ได้ทั้งหมด ก็ควรที่จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือบ้างในบางส่วน เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ดิ้นรนต่อสู้ไปได้อีก

อีกประการหนึ่งคือ การใช้หลักทรัพย์เป็นรถบรรทุกค้ำประกันเงินกู้กับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป นั้น ก็มีการตั้งเงื่อนไขไว้สูงเกินไป เช่น รถบรรทุกต้องมีอายุการใช้งานไม่เกิน 5 ปี จึงจะนำมาค้ำประกันสินเชื่อได้ ซึ่งข้อเท็จจริงผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีรถบรรทุกที่มีอายุการใช้งานมาไม่ต่ำกว่าแล้ว 10- 15 ปี ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยาก

“ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลเห็นความสำคัญของภาคการขนส่ง อย่านิ่งดูดาย ควรหาแนวทางในการช่วยเหลือ เพราะถ้าภาคการขนส่งอยู่ไม่ได้ ก็จะส่งผลกระทบต่อส่วนอื่น ๆ เป็นลูกโซ่ต่อไป การสนับสนุนภาคการขนส่งให้หันมาใช้พลังงานทดแทนเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ภาครัฐจะต้องเข้ามาช่วยเหลือด้านแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยพิเศษอย่างจริงจังด้วย” นายปราโมท กล่าว


เปลี่ยนใช้เชื้อเพลิง  NGV ทางออกสำคัญที่รัฐบาลต้องช่วยเหลืออย่างจริงจัง

นายปราโมทย์  กงทอง
กำลังโหลดความคิดเห็น