เชียงราย – ผืนป่า 3 จังหวัดภาคเหนือทั้งเชียงราย-พะเยา-น่าน ยังวิกฤตต่อเนื่อง ถูกกลุ่มนายทุนจ้องงาบไม่หยุด ระบุแค่ 5 เดือนจับคนรุกป่าได้ถึง 169 คดี ผู้ต้องหา 108 คน
นายทนงศักดิ์ ธรรมโม ผู้อำนวยการส่วนป้องกันรักษาป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า สถานการณ์การลักลอบบุกรุกพื้นที่ป่าในเขตรับผิดชอบ 3 จังหวัด เชียงราย พะเยา น่าน ยังคงมีอยู่และมีแนวโน้มขยายวงกว้างมากขึ้น
โดยทางหน่วยได้สนธิกำลังออกปฏิบัติการเชิงรุก เข้าควบคุมและตรวจยึดพื้นที่ป่าคืนจากกลุ่มผู้บุกรุกอย่างต่อเนื่อง โดยผลการปฏิบัติการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2551 มีการจับกุมคดีเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ป่าไม้ทั้งหมด 169 คดี ผู้ต้องหา 108 คน ซึ่งที่เชียงราย เป็นจังหวัดเดียวที่มีการจับกุม มากเป็นอันดับที่ 1 ในรอบเดือนกุมภาพันธ์ ถึง 22 ราย
ในจำนวนนี้แบ่งเป็นคดีไม้ 67 คดี คดีบุกรุกพื้นที่ป่า 110 คดี คดีที่ซับซ้อนทับกัน 8 คดี มีพื้นที่ป่าถูกบุกรุก 1,557 ไร่ 1 งาน 83.50 ตารางวา ยึดได้ไม้ของกลาง เป็นไม้สักท่อน 290 ท่อน ปริมาตร 23.68 ลูกบาศก์เมตร สักแปรรูป 177 แผ่น/เหลี่ยม ไม้กระยาเลยท่อน 486 ท่อน ไม้กระยาเลยแปรรูป 1,180 แผ่น/เหลี่ยม รวมทั้งอุปกรณ์ในการก่อเหตุอีกจำนวนมาก นำส่งดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเฉียบขาดทุกราย ไม่มียกเว้นหรือช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้น
นายทนงศักดิ์ กล่าวด้วยว่า สภาพการบุกรุกป่าของทั้ง 3 พื้นที่ แตกต่างกัน ซึ่งในส่วนพื้นที่เป้าหมาย เชียงราย-พะเยา พบว่ากลุ่มขบวนการที่มีนายทุนระดับใหญ่อยู่เบื้องหลัง ไม่กล้าเคลื่อนไหว เนื่องจากรอบปี 2550 ที่ผ่านมา หน่วยป่าไม้เชียงราย ได้ตรวจยึดพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่า ป่าสบกกฝั่งขวา อ.เชียงแสน จำนวน 916 ไร่เศษ คืนจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลได้ นับเป็นการจับกุมครั้งใหญ่
“จากมาตรการเด็ดขาดทำให้กลุ่มนายทุนใหญ่ไม่กล้าเคลื่อนไหว ส่วนพื้นที่จังหวัดน่าน น่าเป็นห่วง เพราะมีการบุกรุกทำลายป่ามากกว่าที่อื่น สาเหตุมาจากปัญหาข้าวโพดราคาแพง ทำให้กลุ่มชาวเขา ทำลายป่าเพื่อปลูกข้าวโพดขายจำนวนมาก”
นายทนงศักดิ์ ธรรมโม ผู้อำนวยการส่วนป้องกันรักษาป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า สถานการณ์การลักลอบบุกรุกพื้นที่ป่าในเขตรับผิดชอบ 3 จังหวัด เชียงราย พะเยา น่าน ยังคงมีอยู่และมีแนวโน้มขยายวงกว้างมากขึ้น
โดยทางหน่วยได้สนธิกำลังออกปฏิบัติการเชิงรุก เข้าควบคุมและตรวจยึดพื้นที่ป่าคืนจากกลุ่มผู้บุกรุกอย่างต่อเนื่อง โดยผลการปฏิบัติการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2551 มีการจับกุมคดีเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ป่าไม้ทั้งหมด 169 คดี ผู้ต้องหา 108 คน ซึ่งที่เชียงราย เป็นจังหวัดเดียวที่มีการจับกุม มากเป็นอันดับที่ 1 ในรอบเดือนกุมภาพันธ์ ถึง 22 ราย
ในจำนวนนี้แบ่งเป็นคดีไม้ 67 คดี คดีบุกรุกพื้นที่ป่า 110 คดี คดีที่ซับซ้อนทับกัน 8 คดี มีพื้นที่ป่าถูกบุกรุก 1,557 ไร่ 1 งาน 83.50 ตารางวา ยึดได้ไม้ของกลาง เป็นไม้สักท่อน 290 ท่อน ปริมาตร 23.68 ลูกบาศก์เมตร สักแปรรูป 177 แผ่น/เหลี่ยม ไม้กระยาเลยท่อน 486 ท่อน ไม้กระยาเลยแปรรูป 1,180 แผ่น/เหลี่ยม รวมทั้งอุปกรณ์ในการก่อเหตุอีกจำนวนมาก นำส่งดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเฉียบขาดทุกราย ไม่มียกเว้นหรือช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้น
นายทนงศักดิ์ กล่าวด้วยว่า สภาพการบุกรุกป่าของทั้ง 3 พื้นที่ แตกต่างกัน ซึ่งในส่วนพื้นที่เป้าหมาย เชียงราย-พะเยา พบว่ากลุ่มขบวนการที่มีนายทุนระดับใหญ่อยู่เบื้องหลัง ไม่กล้าเคลื่อนไหว เนื่องจากรอบปี 2550 ที่ผ่านมา หน่วยป่าไม้เชียงราย ได้ตรวจยึดพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่า ป่าสบกกฝั่งขวา อ.เชียงแสน จำนวน 916 ไร่เศษ คืนจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลได้ นับเป็นการจับกุมครั้งใหญ่
“จากมาตรการเด็ดขาดทำให้กลุ่มนายทุนใหญ่ไม่กล้าเคลื่อนไหว ส่วนพื้นที่จังหวัดน่าน น่าเป็นห่วง เพราะมีการบุกรุกทำลายป่ามากกว่าที่อื่น สาเหตุมาจากปัญหาข้าวโพดราคาแพง ทำให้กลุ่มชาวเขา ทำลายป่าเพื่อปลูกข้าวโพดขายจำนวนมาก”