เชียงราย - ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ และรองโฆษกดีเอสไอ นำทีมเฉพาะกิจ เข้าสอบสวนปากคำ และตรวจดูเอกสารสำคัญเกี่ยวกับคดีกลุ่มผู้มีอิทธิพลสั่งรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าสบกก และตรวจสอบข้อมูลที่สำนักงานปฏิรูปที่ดิน จ.เชียงราย พร้อมสรุปคดีสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ให้ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่า พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ และรองโฆษกกรมสอบสวนคดีเศษ (ดีเอสไอ) ได้นำทีมเฉพาะกิจกรมสอบสวนคดีพิเศษ เดินทางลงพื้นที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เข้าสอบสวนปากคำ และตรวจดูเอกสารสำคัญเกี่ยวกับคดีกลุ่มผู้มีอิทธิพลสั่งรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าสบกกฝั่งขวา บ้านห้วยข่อยหร่อย ม.12 ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน โดยนัดประชุมและตรวจสอบเอกสาร ที่สถานีตำรวจภูธร อ.เชียงแสน เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2551 โดยมุ่งเน้นไปที่เรื่องสภาพที่ดินที่ถูกบุกรุกในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าสบกกฝั่งขวา
จากนั้น ทีมดีเอสไอจึงรีบเดินทางมาที่สำนักงานปฏิรูปที่ดิน จ.เชียงราย ตั้งอยู่ในเขต อ.เมืองเชียงราย ตรวจสอบรายละเอียดเรื่องที่ดิน ส.ป.ก.บางส่วนที่ผสมอยู่ในที่ดินที่ถูกบุกรุกรอบป่าสบกก จำนวน 916 ไร่ เนื่องจากพบว่ามีการบุกรุกโดยนำที่ดิน 2 ส่วน คือ ส่วนป่าสงวนแห่งชาติ กับที่ดิน ส.ป.ก.นอกเขตป่าสงวน มาผสมกันในการบุกรุกขายที่ให้กลุ่มนายทุน เพื่อเชื่อมโยงว่ามีข้าราชการหรือกลุ่มเจ้าหน้าที่รายใด ที่เข้าไปมีส่วนในการเอื้ออำนวยการ ร่วมบุกรุกป่าทำลายป่าผืนนี้มากน้อยเพียงใด หากสอบสวนถึงจะได้ออกหมายจับในจำนวนนี้ด้วย
ด้าน พ.อ.ปิยะวัฒก์ เปิดเผยขณะลงพื้นที่หาหลักฐานที่ จ.เชียงราย ว่า คดีนี้ทางดีเอสไอ โดยทีมพนักงานสอบสวนทั้งหมด ได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐานสำคัญในคดีนี้ มีความคืบหน้าไปถึง 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว อยู่ระหว่างรอนำกลับไปหารือพิจารณาขั้นตอนสุดท้ายอยู่ การทำงานจุดนี้ต้องทำให้หลักฐานปรากฏให้ได้มากที่สุด หากไม่เพียงพอก็จะไม่สามารถออกหมายจับตัวการระดับสูง ที่พบว่าเป็นอดีตข้าราชการระดับสูงได้ ซึ่งดีเอสไอ ไม่ได้ย่อท้อ จะเดินหน้าทำคดีต่อไป
“ทางดีเอสไอพยายามนำข้อมูลหลายที่มาเชื่อมโยง เพื่อจะได้ใช้ในการสรุปหลักฐานในการออกหมายจับผู้ต้องหาว่าจะสาวไปถึงใครได้บ้าง แม้ว่าบางส่วนที่เป็นตัวการใหญ่ ที่เราทราบตัวหมดแล้วก็ตาม แต่ยังขาดหลักฐานมัดตัวได้อยู่ จึงต้องรีบทำให้เสร็จในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ให้ได้” พ.อ.ปิยะวัฒก์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่า พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ และรองโฆษกกรมสอบสวนคดีเศษ (ดีเอสไอ) ได้นำทีมเฉพาะกิจกรมสอบสวนคดีพิเศษ เดินทางลงพื้นที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เข้าสอบสวนปากคำ และตรวจดูเอกสารสำคัญเกี่ยวกับคดีกลุ่มผู้มีอิทธิพลสั่งรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าสบกกฝั่งขวา บ้านห้วยข่อยหร่อย ม.12 ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน โดยนัดประชุมและตรวจสอบเอกสาร ที่สถานีตำรวจภูธร อ.เชียงแสน เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2551 โดยมุ่งเน้นไปที่เรื่องสภาพที่ดินที่ถูกบุกรุกในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าสบกกฝั่งขวา
จากนั้น ทีมดีเอสไอจึงรีบเดินทางมาที่สำนักงานปฏิรูปที่ดิน จ.เชียงราย ตั้งอยู่ในเขต อ.เมืองเชียงราย ตรวจสอบรายละเอียดเรื่องที่ดิน ส.ป.ก.บางส่วนที่ผสมอยู่ในที่ดินที่ถูกบุกรุกรอบป่าสบกก จำนวน 916 ไร่ เนื่องจากพบว่ามีการบุกรุกโดยนำที่ดิน 2 ส่วน คือ ส่วนป่าสงวนแห่งชาติ กับที่ดิน ส.ป.ก.นอกเขตป่าสงวน มาผสมกันในการบุกรุกขายที่ให้กลุ่มนายทุน เพื่อเชื่อมโยงว่ามีข้าราชการหรือกลุ่มเจ้าหน้าที่รายใด ที่เข้าไปมีส่วนในการเอื้ออำนวยการ ร่วมบุกรุกป่าทำลายป่าผืนนี้มากน้อยเพียงใด หากสอบสวนถึงจะได้ออกหมายจับในจำนวนนี้ด้วย
ด้าน พ.อ.ปิยะวัฒก์ เปิดเผยขณะลงพื้นที่หาหลักฐานที่ จ.เชียงราย ว่า คดีนี้ทางดีเอสไอ โดยทีมพนักงานสอบสวนทั้งหมด ได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐานสำคัญในคดีนี้ มีความคืบหน้าไปถึง 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว อยู่ระหว่างรอนำกลับไปหารือพิจารณาขั้นตอนสุดท้ายอยู่ การทำงานจุดนี้ต้องทำให้หลักฐานปรากฏให้ได้มากที่สุด หากไม่เพียงพอก็จะไม่สามารถออกหมายจับตัวการระดับสูง ที่พบว่าเป็นอดีตข้าราชการระดับสูงได้ ซึ่งดีเอสไอ ไม่ได้ย่อท้อ จะเดินหน้าทำคดีต่อไป
“ทางดีเอสไอพยายามนำข้อมูลหลายที่มาเชื่อมโยง เพื่อจะได้ใช้ในการสรุปหลักฐานในการออกหมายจับผู้ต้องหาว่าจะสาวไปถึงใครได้บ้าง แม้ว่าบางส่วนที่เป็นตัวการใหญ่ ที่เราทราบตัวหมดแล้วก็ตาม แต่ยังขาดหลักฐานมัดตัวได้อยู่ จึงต้องรีบทำให้เสร็จในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ให้ได้” พ.อ.ปิยะวัฒก์ กล่าว