ศูนย์ข่าวขอนแก่น – โจ๋เมืองหมอแคน ควงปืนบุกเดี่ยวจี้ชิงเงินธนาคารกสิกรไทย ได้เงินสดกว่า 5 แสนบาท ด้านตำรวจมึน กล้องวงจรปิดใช้การไม่ได้ ธนาคารอยู่ระหว่างการปรับปรุง เผย อาจเป็นมืออาชีพก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง แต่ขอทำงานสักระยะ เชื่อจะสามารถจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้
บ่ายวันนี้ (9 ม.ค.) ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยถนนศรีจันทร์ พล.ต.ต.ศักดา เตชะเกรียงไกร ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น และ พ.ต.อ.สันติ ไทยเสถียร ผู้กำกับการ สภ.เมืองขอนแก่น พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์ 2 คูหาและเป็นที่ตั้งของธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยถนนศรีจันทร์ ตรงข้ามโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น หลังได้รับแจ้งว่ามีคนร้ายควงปืนบุกปล้นธนาคาร
จากการสอบถามแม่ค้าขายผลไม้หน้าธนาคารที่เห็นเหตุการณ์ทราบว่า คนร้ายที่ลงมือก่อเหตุอย่างอุกอาจครั้งนี้มี 1 คน เป็นวัยรุ่นชายสูงประมาณ 165 เซนติเมตร โดยขี่รถจักรยานยนต์สีเหลืองดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มาจอดที่หน้าธนาคารแล้วสวมหมวกไหมพรมก่อนที่จะถือปืนลงจากรถเดินเข้าธนาคารอย่างใจเย็น
ด้าน นายบรรเทิง อังสันทัตสุข พนักงานแคชเชียร์ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยรายละเอียดกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเมื่อประมาณ 14.00 น. มีคนร้าย 1 คนสวมหมวกไหมพรม สูงประมาณ 165 เซนติเมตร เดินถือปืนเข้ามาและใช้ปืนจี้บังคับมายังตนและใช้ปืนขู่ไปยังลูกค้าที่มาใช้บริการประมาณ 6-7 คน พร้อมกับโยนถุงใส่ขยะสีดำมาที่เคาน์เตอร์ 1 ใบโดยไม่พูดอะไร
แต่ถุงขยะที่โยนมาให้ตกไปที่พื้น คนร้ายจึงรีบหยิบเงินสดจำนวน 512,000 บาทที่กำลังจะส่งให้ลูกค้าที่มาใช้บริการเบิกถอนเงินธนาคาร แล้วรีบเดินออกไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่จอดไว้หน้าธนาคารแล้วหลบหนีไป โดยใช้เวลาก่อเหตุประมาณ 1 นาที
ด้านผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น เปิดเผยว่า คดีนี้ตำรวจคงต้องขอเวลาในการทำงานซักระยะ เนื่องจากว่าเป็นคดีที่อุกอาจ และเหมาะเจาะที่ธนาคารมีการปรับปรุงพื้นที่ ทำให้กล้องวงจรปิดไม่สามารถใช้การได้ แต่ในเบื้องต้นได้สั่งให้สายตรวจตรวจสอบตามเส้นทางที่คาดว่าค้นร้ายจะหลบหนี และมีการตั้งด่านสกัดจับ ส่วนพยานที่เป็นแม่ค้าขายผลไม้หน้าธนาคารตอนนี้ขอความร่วมมือให้เป็นพยานและสเก็ซ์หน้าคนร้ายแล้ว
ส่วนการก่อเหตุของคนร้ายครั้งนี้คงจะต้องมีการตรวจสอบก่อนอีกครั้ง หลังจากที่มีการสเกตช์หน้าคนร้ายแล้ว เนื่องจากการพฤติกรรมการลงมือเป็นแบบในลักษณะใจเย็น อาจเป็นไปได้ว่าเป็นมืออาชีพ และเชื่อว่าเคยก่อเหตุในลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งก็ต้องขอเวลาให้ทางตำรวจทำงานสักระยะเพื่อที่จะรีบดำเนินการจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี ส่วนรายละเอียดอื่นคงจะต้องมีการสอบสวนและตรวจสอบอีกครั้ง