ผู้จัดการรายวัน – ลีสซิ่งกสิกรไทยตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ 43,200 ล้านบาท พร้อมคุมเอ็นพีแอลไม่เกิน 1.5% เผยกลยุทธ์ปีนี้เน้นอนุมัติเร็วภายใน 30 นาที หวังมาร์เก็ตแชร์ขยับติด 1 ใน 4
นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัทลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อใหม่ไว้ที่ 43,200 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นลูกค้าที่ได้รับการแนะนำมาจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ในสัดส่วนประมาณ 25.5% ทั้งนี้ แบ่งเป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 29,700 ล้านบาท เป็นลูกค้าที่แนะนำมาจากธนาคารกสิกรไทย 21% และสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ 13,500 ล้านบาท เป็นลูกค้าที่แนะนำมาจากธนาคารกสิกรไทย 56% ซึ่งจะทำให้ยอดสินเชื่อคงค้างสิ้นปีนี้อยู่ที่ 46,200 ล้านบาท ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ปีนี้จะรักษาให้อยู่ที่ระดับไม่เกิน 1.5% จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 1.3%
สำหรับผลประกอบการในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะมีกำไรก่อนหักสำรองและหนี้สงสัยจะสูญ 451 ล้านบาท และเป็นกำไรหลังหักสำรอง 284 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการในปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรก่อนหักสำรองและหนี้สงสัยจะสูญ 83 ล้านบาท และเป็นกำไรหลังหักสำรอง 25 ล้านบาท ซึ่งจากผลประกอบการดังกล่าวทำให้บริษัทจะสามารถล้างขาดทุนสะสมซึ่งมีอยู่ 288 ล้านบาทได้หมดภายในปีนี้ และจะทำให้บริษัทมีกำไรสะสมอยู่ประมาณกว่า 20 ล้านบาท
"ในปีก่อนเราตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อไว้ที่ 25,000 ล้านบาท แต่ทำได้เพียง 22,600 ล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 10% เป็นเพราะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ยอดขายรถยนต์ของระบบก็ต่ำกว่าเป้าหมาย รวมถึงค่ายรถยนต์ต่างๆก็ได้มีการจัดแคมเปญ ซึ่งทำให้ยอดสินเชื่อมาไม่ถึงเรา แต่ปีนี้ตั้งเป้าเติบโตเท่าตัวเพราะจะมีการแนะนำลูกค้ามาจากธนาคารกสิกรไทยให้มาใช้บริการ"นายอิสระกล่าว
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อค่อนข้างสูง เนื่องจากมองว่าในช่วงปี 2003-2004 ยอดขายรถยนต์ค่อนข้างมีปริมาณที่สูง ซึ่งเมื่อนับรอบปีแล้วปีนี้จะเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนรถใหม่รวมถึงมีการกระตุ้นตลาดด้วยรถยนต์ประหยัดพลังงานทำให้ยอดขายรถยนต์ในปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมา และถึงแม้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้นนั้นเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการตัดสินใจซื้อเพราะอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อรถยนต์อยู่ในระดับที่ต่ำอยู่แล้ว
นายอิสระ กล่าวว่า กลยุทธ์หลักที่จะนำมาใช้คือเรื่องของการอนุมัติสินเชื่อภายใน 30 นาที (ALO) ซึ่งในเดือนมกราคมนี้บริษัทอยู่ในช่วงการทดลองระบบ และจะมีการเปิดให้ใช้บริการได้อย่างเป็นทางการผ่านศูนย์ธุรกิจของบริษัทซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 13 แห่งในเดือนเมษายนนี้ และคาดว่าในปีนี้จะมีการเปิดศูนย์ธุรกิจเพิ่มอีก 3 แห่ง คือ จังหวัดนครราชสีมา อุบลราชธานี และสุราษฎร์ธานี
นอกจากนี้ ตั้งเป้าหมายมีส่วนแบ่งทางการตลาดขึ้นมาอยู่ที่ 7% จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 4% ซึ่งจะทำให้อันดับส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 3 หรือ 4 จากปัจจุบันส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับหนึ่งเป็นของธนชาต 25% ไทยพาณิชย์ลีสซิ่ง 12% และทิสโก้ 8%
"การเติบโตของตลาดรถยนต์ปีนี้ที่ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดไว้จะอยู่ที่ 4-9 % ซึ่งในส่วนของตลาดสินเชื่เช่าซื้อก็จะเติบโตในระดับเดียวกัน เนื่องจากในตลาดรถยนต์นั้นจะใช้บริการเช่าซื้อ 80% และ 20 % จะซื้อเงินสด" นายอิสระกล่าว
นายอิสระ กล่าวอีกว่า ปัญหาเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสารเพื่อมาขอสินเชื่อของกลุ่มมิจฉาชีพนั้นในปีก่อนมีค่อนข้างมากเนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี โดยส่วนใหญ่จะเป็นการจ้างให้ผู้ที่มีประวัติดีมาเป็นผู้ขอสินเชื่อ เนื่องจากกลุ่มมิจฉาชีพได้มีประวัติขึ้นบัญชีดำอยู่แล้วทำให้ขอสินเชื่อไม่ได้ ส่วนในปีนี้จะยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวนั้นไม่ได้ดีถึงระดับที่จะทำให้กลุ่มดังกล่าวหายไปได้
นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัทลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อใหม่ไว้ที่ 43,200 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นลูกค้าที่ได้รับการแนะนำมาจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ในสัดส่วนประมาณ 25.5% ทั้งนี้ แบ่งเป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 29,700 ล้านบาท เป็นลูกค้าที่แนะนำมาจากธนาคารกสิกรไทย 21% และสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ 13,500 ล้านบาท เป็นลูกค้าที่แนะนำมาจากธนาคารกสิกรไทย 56% ซึ่งจะทำให้ยอดสินเชื่อคงค้างสิ้นปีนี้อยู่ที่ 46,200 ล้านบาท ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ปีนี้จะรักษาให้อยู่ที่ระดับไม่เกิน 1.5% จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 1.3%
สำหรับผลประกอบการในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะมีกำไรก่อนหักสำรองและหนี้สงสัยจะสูญ 451 ล้านบาท และเป็นกำไรหลังหักสำรอง 284 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการในปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรก่อนหักสำรองและหนี้สงสัยจะสูญ 83 ล้านบาท และเป็นกำไรหลังหักสำรอง 25 ล้านบาท ซึ่งจากผลประกอบการดังกล่าวทำให้บริษัทจะสามารถล้างขาดทุนสะสมซึ่งมีอยู่ 288 ล้านบาทได้หมดภายในปีนี้ และจะทำให้บริษัทมีกำไรสะสมอยู่ประมาณกว่า 20 ล้านบาท
"ในปีก่อนเราตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อไว้ที่ 25,000 ล้านบาท แต่ทำได้เพียง 22,600 ล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 10% เป็นเพราะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ยอดขายรถยนต์ของระบบก็ต่ำกว่าเป้าหมาย รวมถึงค่ายรถยนต์ต่างๆก็ได้มีการจัดแคมเปญ ซึ่งทำให้ยอดสินเชื่อมาไม่ถึงเรา แต่ปีนี้ตั้งเป้าเติบโตเท่าตัวเพราะจะมีการแนะนำลูกค้ามาจากธนาคารกสิกรไทยให้มาใช้บริการ"นายอิสระกล่าว
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อค่อนข้างสูง เนื่องจากมองว่าในช่วงปี 2003-2004 ยอดขายรถยนต์ค่อนข้างมีปริมาณที่สูง ซึ่งเมื่อนับรอบปีแล้วปีนี้จะเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนรถใหม่รวมถึงมีการกระตุ้นตลาดด้วยรถยนต์ประหยัดพลังงานทำให้ยอดขายรถยนต์ในปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมา และถึงแม้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้นนั้นเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการตัดสินใจซื้อเพราะอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อรถยนต์อยู่ในระดับที่ต่ำอยู่แล้ว
นายอิสระ กล่าวว่า กลยุทธ์หลักที่จะนำมาใช้คือเรื่องของการอนุมัติสินเชื่อภายใน 30 นาที (ALO) ซึ่งในเดือนมกราคมนี้บริษัทอยู่ในช่วงการทดลองระบบ และจะมีการเปิดให้ใช้บริการได้อย่างเป็นทางการผ่านศูนย์ธุรกิจของบริษัทซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 13 แห่งในเดือนเมษายนนี้ และคาดว่าในปีนี้จะมีการเปิดศูนย์ธุรกิจเพิ่มอีก 3 แห่ง คือ จังหวัดนครราชสีมา อุบลราชธานี และสุราษฎร์ธานี
นอกจากนี้ ตั้งเป้าหมายมีส่วนแบ่งทางการตลาดขึ้นมาอยู่ที่ 7% จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 4% ซึ่งจะทำให้อันดับส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 3 หรือ 4 จากปัจจุบันส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับหนึ่งเป็นของธนชาต 25% ไทยพาณิชย์ลีสซิ่ง 12% และทิสโก้ 8%
"การเติบโตของตลาดรถยนต์ปีนี้ที่ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดไว้จะอยู่ที่ 4-9 % ซึ่งในส่วนของตลาดสินเชื่เช่าซื้อก็จะเติบโตในระดับเดียวกัน เนื่องจากในตลาดรถยนต์นั้นจะใช้บริการเช่าซื้อ 80% และ 20 % จะซื้อเงินสด" นายอิสระกล่าว
นายอิสระ กล่าวอีกว่า ปัญหาเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสารเพื่อมาขอสินเชื่อของกลุ่มมิจฉาชีพนั้นในปีก่อนมีค่อนข้างมากเนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี โดยส่วนใหญ่จะเป็นการจ้างให้ผู้ที่มีประวัติดีมาเป็นผู้ขอสินเชื่อ เนื่องจากกลุ่มมิจฉาชีพได้มีประวัติขึ้นบัญชีดำอยู่แล้วทำให้ขอสินเชื่อไม่ได้ ส่วนในปีนี้จะยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวนั้นไม่ได้ดีถึงระดับที่จะทำให้กลุ่มดังกล่าวหายไปได้