กสิกรไทย ประกาศดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านกสิกรไทยรับปี 51 ที่ 1.99% ใน 3 เดือนแรก หลังจากนั้นมี 6 แบบให้เลือก ชี้เป็นโอกาสดีสำหรับคนอยากมีบ้านในช่วงนี้ ก่อนดอกเบี้ยจะขยับขึ้น ตั้งเป้าปล่อยกู้สินเชื่อปีนี้เพิ่มอีก 30,000 ล้านบาท ทำให้ยอดสินเชื่อบ้านรวมของธนาคารทะลุ 1 แสนล้านบาท
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทย ได้ประกาสอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านกสิกรไทย สำหรับลูกค้าผู้ที่ต้องการกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองที่ยื่นขอกู้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคม 2551 โดยธนาคารจะคิดอัตรา อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.99%ใน 3 เดือนแรก หลังจากนั้นลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราดอกเบี้ยได้ 6 แบบ คือ
แบบที่ 1 เดือนที่ 4-12 คิดอัตราคงที่ 3.99% แบบที่ 2 เดือนที่ 4-24 คิดอัตราคงที่ 5.75% แบบที่ 3 เดือนที่ 4-36 คิดอัตราคงที่ 6.50% แบบที่ 4 เดือนที่ 4-12 คิดอัตราลอยตัว MLR-2.50% แบบที่ 5 เดือนที่ 4-24 คิดอัตราลอยตัว MLR-1.00 % และแบบที่ 6 เดือนที่ 4-36 คิดอัตราลอยตัว MLR-0.65% ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MLR ของธนาคารกสิกรไทยอยู่ที่ 6.85% สามารถผ่อนชำระได้นานที่สุด 30 ปี ทั้งนี้หากราคาซื้อขายไม่เกิน 10 ล้านบาท จะกู้ได้ไม่เกิน 80% ของราคาซื้อขาย และไม่เกิน 80 % ของราคาประเมินหลักประกัน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวถือว่าเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยในช่วงนี้ เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปีนี้จะอยู่ในช่วงขาขึ้น
สำหรับในปี 2551 ธนาคารได้ตั้งเป้าปล่อยกู้สินเชื่อบ้านกสิกรไทยเพิ่มขึ้น 30,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 16-17% จากปี 2550 ที่คาดว่าจะมียอดสินเชื่อรวมอยู่ที่ 90,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำยอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารทะลุหลัก 1 แสนล้านบาทเป็นครั้งแรก
นายชาติชาย กล่าวเสริมว่า สำหรับกลยุทธ์ที่จะนำมาใช้ จะเน้นเรื่องการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารสามารถขยายฐานลูกค้าที่มีคุณภาพได้มากและรวดเร็ว รวมทั้งการพัฒนาทีมขายที่มีคุณภาพ มุ่งให้บริการพร้อมคำปรึกษาถึงที่ มีการพิจารณาสินเชื่อที่รวดเร็วเป็นมาตรฐาน และจะเน้นการบริการแบบ K-Now เพื่อให้บริการนอกเหนือจากบริการทางการเงิน เช่น บริการผู้จัดการส่วนตัวเรื่องบ้าน จาก K Home Smiles Club
นอกจากนั้นแล้วธนาคารยังจะขยายฐานลูกค้าไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น จากเดิมที่การปล่อยสินเชื่อจะเน้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เนื่องจากตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดยังมีแนวโน้มการเติบโตได้ดี เนื่องจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ขยายการลงทุน ไปพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นหัวเมือง และแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทย ได้ประกาสอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านกสิกรไทย สำหรับลูกค้าผู้ที่ต้องการกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองที่ยื่นขอกู้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคม 2551 โดยธนาคารจะคิดอัตรา อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.99%ใน 3 เดือนแรก หลังจากนั้นลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราดอกเบี้ยได้ 6 แบบ คือ
แบบที่ 1 เดือนที่ 4-12 คิดอัตราคงที่ 3.99% แบบที่ 2 เดือนที่ 4-24 คิดอัตราคงที่ 5.75% แบบที่ 3 เดือนที่ 4-36 คิดอัตราคงที่ 6.50% แบบที่ 4 เดือนที่ 4-12 คิดอัตราลอยตัว MLR-2.50% แบบที่ 5 เดือนที่ 4-24 คิดอัตราลอยตัว MLR-1.00 % และแบบที่ 6 เดือนที่ 4-36 คิดอัตราลอยตัว MLR-0.65% ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MLR ของธนาคารกสิกรไทยอยู่ที่ 6.85% สามารถผ่อนชำระได้นานที่สุด 30 ปี ทั้งนี้หากราคาซื้อขายไม่เกิน 10 ล้านบาท จะกู้ได้ไม่เกิน 80% ของราคาซื้อขาย และไม่เกิน 80 % ของราคาประเมินหลักประกัน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวถือว่าเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยในช่วงนี้ เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปีนี้จะอยู่ในช่วงขาขึ้น
สำหรับในปี 2551 ธนาคารได้ตั้งเป้าปล่อยกู้สินเชื่อบ้านกสิกรไทยเพิ่มขึ้น 30,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 16-17% จากปี 2550 ที่คาดว่าจะมียอดสินเชื่อรวมอยู่ที่ 90,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำยอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารทะลุหลัก 1 แสนล้านบาทเป็นครั้งแรก
นายชาติชาย กล่าวเสริมว่า สำหรับกลยุทธ์ที่จะนำมาใช้ จะเน้นเรื่องการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารสามารถขยายฐานลูกค้าที่มีคุณภาพได้มากและรวดเร็ว รวมทั้งการพัฒนาทีมขายที่มีคุณภาพ มุ่งให้บริการพร้อมคำปรึกษาถึงที่ มีการพิจารณาสินเชื่อที่รวดเร็วเป็นมาตรฐาน และจะเน้นการบริการแบบ K-Now เพื่อให้บริการนอกเหนือจากบริการทางการเงิน เช่น บริการผู้จัดการส่วนตัวเรื่องบ้าน จาก K Home Smiles Club
นอกจากนั้นแล้วธนาคารยังจะขยายฐานลูกค้าไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น จากเดิมที่การปล่อยสินเชื่อจะเน้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เนื่องจากตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดยังมีแนวโน้มการเติบโตได้ดี เนื่องจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ขยายการลงทุน ไปพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นหัวเมือง และแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่