xs
xsm
sm
md
lg

ผ่าน อย. แต่เจอสารอันตราย!! ช่องโหว่การตรวจสอบ ที่ “ผู้บริโภค” ต้องรู้เท่าทัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผ่าน อย.มาได้ยังไง? ทำไมตรวจเจอ “สารอันตราย” และนี่คือช่องโหว่ “ระบบตรวจสอบ” ที่เสริมให้ผู้ผลิต กล้าท้าทายกฎหมาย แอบลักไก่ต่างๆ นานา เพราะถือว่าได้รับ “ใบอนุญาต” ไปแล้ว

** ผ่าน “อย.” แต่ยังเจอ “สารอันตราย” **


“สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)”
ประกาศเตือน พบ  “สารต้องห้าม” ในอาหารเสริมยี่ห้อดังอย่าง “โอซี (Ozy)”

นั่นก็คือ สาร “ไซบูทรามีน (Sibutramine)” ที่มักจะถูกใช้เป็น “ยาลดน้ำหนัก” แต่สารตัวนี้เป็น “สารอันตราย” ที่เพิ่มความเสี่ยง ให้เกิด “กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด” และ “โรคหลอดเลือดสมอง” ทำให้หลายประเทศ“ห้ามใช้”รวมถึงในไทยด้วย



หลังเรื่องแดง ดาราสาวชื่อดังที่ปรากฏรูปเป็น “พรีเซ็นเตอร์” อยู่บนผลิตภัณฑ์ อย่าง “หนิง-ปณิตา พัฒนาหิรัญ” และบริษัทตัวแทนจำหน่ายอย่าง “บริษัท แกรนด์วันเดอร์ จำกัด” ก็ออกมาชี้แจงแล้ว

ประกาศชัดเจนว่า บริษัทตัวแทนจำหน่ายได้  “ยุติ” หน้าที่ไปตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค.67 ส่วนดาราสาวเองก็ “ยกเลิก” การเป็นพรีเซ็นเตอร์ไปเรียบร้อยแล้ว ย้ำว่านี่ไม่ใช่การปัดความรับผิดชอบ แต่เพื่อแสดงจุดยืนว่า เธออยู่ข้างผู้บริโภค

“หนิงตระหนักดีว่า ความปลอดภัยของผู้บริโภค คือสิ่งสำคัญที่สุด และหนิงตั้งใจในงานทุกงานของหนิงมากๆ ตั้งแต่มีประเด็นเรื่องการลักลอบใส่สารไซบูทรามีน บริษัทแกรนด์วันเดอร์ ได้ยกเลิกการเป็นพรีเซนเตอร์ และตัวแทนจำหน่าย Ozy ทันที เพื่อแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า เรายืนอยู่ข้างความปลอดภัยของลูกค้าเสมอ”



ในส่วนของหน่วยงานผู้มีหน้าที่ตรวจสอบอย่าง “อย.” นั้น ก็ถูกสังคมตั้งคำถามว่า ในเมื่อสินค้าตัวนี้ “ผ่านการตรวจ” จนได้ “เลข อย.” มาแล้ว ทำไมสุดท้ายแล้ว ถึงยังตรวจพบสารอันตรายอีก?

ทีมข่าวจึงขอต่อสายตรงหา “กิ่ง-มลฤดี โพธิ์อินทร์” หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC) เพื่อมาช่วยคลายปมสงสัยนี้

จนได้คำตอบว่า “การจดทะเบียน” และ “ขอใบอนุญาต อย.” ของผลิตภัณฑ์อาหาร โดยเฉพาะ “อาหารเสริม” ที่ซีเรียสมากเรื่อง “สารต้องห้าม” อย่าง “ไซบรูทรามี”

ทำให้เวลาจะขออนุญาต จะต้องมีการตรวจสอบ “ส่วนประกอบ” “ส่วนผสม” “สูตรการผลิต” และต้องดู “ผลทดสอบ” จาก “ห้องแล็บวิทยาศาสตร์” เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีสารไซบรูทรามีนอยู่ในผลิตภัณฑ์

ถ้าตรวจพบสารปนเปื้อนอันตราย ทาง อย.ไม่มีทางปล่อยผ่าน อนุญาตให้จดทะเบียนผลิตภัณฑ์อาหารแน่นอน นั่นหมายความว่า เคสนี้น่าจะแอบใส่สารอันตรายอย่าง“ไซบรูทรามีน” เพิ่มเข้าไป หลังขออนุญาต อย.ไปแล้ว

“การขออนุญาต คือผู้ประกอบการเนี่ย จะเอาผลิตภัณฑ์ที่ดีไปขออนุญาต ยังไงก็ผ่านอยู่แล้ว แต่พอหลังการขออนุญาตไปแล้วเนี่ย อย.ไปตรวจโรงงานหรือเปล่า ไปตรวจขั้นตอนการผลิต หลังออกใบอนุญาตแล้วหรือไม่”



แต่เรื่องแอบหยอดสารอันตรายลงในผลิตภัณฑ์ในภายหลังนั้น ก็ไม่ใช่ทุกเคสจะมาจากตัวเจ้าของแบรนด์ แต่อาจเป็นการแอบทำลับหลัง จากฝีมือของทาง “โรงงาน” เอง

ยกตัวอย่างกรณี “ปูนิ่ม-ศิรินทรา เส็งสิน” อดีตแม่ค้าออนไลน์ เจ้าของแบรนด์สินค้ายาลดน้ำหนัก “OHO ByPunim (โอ้โหบายปูนิ่ม)” ที่ต้องโดนโทษจำคุกถึง “27 เดือน” เพราะโรงงานแอบใส่สารเข้าไปเพิ่มให้เอง

แม้ท้ายที่สุดแล้ว จะมีพยานจากฝั่งโรงงาน ออกมาช่วยยืนยันว่า ปูนิ่มไม่เกี่ยวข้องและไม่รู้เรื่อง กับการแอบใส่สารตัวนี้เข้าไป แต่ในฐานะเจ้าของผลิตภัณฑ์ สุดท้ายก็ไม่รอด ต้องรับข้อหา “จําหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์”ในที่สุด


                          { "ปูนิ่ม-ศิรินทรา” อดีตเจ้าของแบรนด์สินค้ายาลดน้ำหนัก “OHO ByPunim" }

อีกหนึ่งทางออก ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการคุ้มครองผู้บริโภค แนะนำก็คือ ให้เจ้าของสินค้าลงทุน “ตรวจสอบคุณภาพ”หรือ “QC”ด้วยตัวเอง แยกออกมาอีกที ถ้ารู้สึกว่า ไม่ควรไว้ใจทางโรงงานมากเกินไป

“ถ้าเป็นกรณีบริษัท อย่างเช่น แบรนด์ดังๆ เขาจะเป็นโรงงานของเขาเลย มีห้องแล็บปฏิบัติการ หรือห้อง QC ก่อนที่จะผลิตเป็นล็อตใหญ่ โรงงานเอง ก็ต้องมี QC ด้วยนะคะ มีการทำตามสูตร หรือคุณภาพได้ตามนั้น

ถ้าตัวผู้ว่าจ้างเอง ไม่มั่นใจในโรงงาน ที่ตัวเองไปจ้างใช่ไหมคะ ผู้ว่าจ้างก็สามารถนำผลิตภัณฑ์นี้ ไป QC ตัวเองก่อนได้ มีห้องแล็บปฏิบัติการเอกชน หรือของรัฐอย่าง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แต่ส่วนใหญ่ เจ้าของแบรนด์เนี่ย จะไม่ค่อยตรวจสอบคุณภาพ”


                                       {“กิ่ง-มลฤดี” จาก สภาองค์กรของผู้บริโภค(TCC)}

** “กล้าทำ” เพราะช่องโหว่ “ตรวจสอบย้อนหลัง” **

อะไรทำให้ “ผู้ประกอบการ” หรือ “โรงงาน” ใจกล้า “แอบใส่” สารอันตราย หรือสารต้องห้ามลงในผลิตภัณฑ์ หลังจากได้รับใบอนุญาตจาก อย.เรียบร้อยแล้ว?

ตัวแทนสภาองค์กรของผู้บริโภครายเดิม มองว่า นี่คือช่องโหว่ของ “ระบบตรวจสอบย้อนหลัง” ของ อย.ที่ทำให้เกิดเรื่องพวกนี้

“ผู้ประกอบการอาจจะมั่นใจก็ได้ว่า ไม่มีใครมาตรวจหรอก ออกใบอนุญาตมาแล้ว ก็ถือว่าออกมาแล้วเลย แต่ไม่มีใครมาตรวจ หลังขออนุญาตมาแล้ว

ก็ถือว่าโรงงาน หรือผู้ประกอบการจะทำยังไงก็ได้ ใส่อะไรลงไปก็ได้ เขาเรียกว่ากฎหมายไม่ได้เข้มงวดพอ ก็เลยทำให้เกิดช่องว่างตรงนี้”

ปัญหาคือทุกวันนี้ ทาง อย.ไม่มี “กรอบเวลา” กำหนดเอาไว้ชัดเจนว่า จะมีการ “กลับไปตรวจสินค้า” นั้นๆ ในรอบกี่ปี หลังออกใบอนุญาตแล้ว แถม “ไม่มีการเปิดเผย” ผลตรวจด้วยว่า สินค้าเหล่านั้น ยังคงได้มาตรฐานเหมือนวันที่ มาขออนุญาตหรือเปล่า



นอกจากนี้ การลงไป “เก็บตัวอย่างสินค้า” ก็มีปัญหา เพราะ อย.ไม่ได้ไปสุ่มซื้อสินค้าตามท้องตลาดมาตรวจ แต่เป็นการขออนุญาตทางผู้ผลิต ก่อนเดินเข้าไปตรวจใน “โรงงาน”หรือ “หน้าร้านค้า” ตัวแทนจำหน่าย ทำให้ตรวจไม่เจอความจริง

ช่องโหว่หลักๆ คือการทำงาน “เชิงรับ” เกินไป กูรูรายเดิมจึงแนะว่า ถ้ามีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมตัวไหน ที่ “โฆษณา” ว่า สามารถลดน้ำหนักได้ หรือกินแล้วทำให้ผิวขาว ควรตั้ง “ข้อสงสัย” ไว้ก่อนเลยว่า อาจมีการแอบใส่สารอันตรายอย่าง “ไซบรูทรามีน” ลงไป

ดังนั้น ทาง อย. ต้องรีบดึงผลิตภัณฑ์ที่มีการอวดอ้างแบบนี้ มาตรวจหาสารต้องสงสัยทันที และควรแก้ปัญหาเรื่องการมี “เจ้าหน้าที่” และ “งบประมาณ” ไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาจุดนี้ด้วย

ที่สำคัญคือ ควรปรับแก้ “พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522” ที่ยังคง “ล้าหลัง” ไม่มีอำนาจมากพอ ที่จะหนุนให้ อย.สามารถเข้าไปสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์นั้นๆ ได้อย่างทันท่วงที



ทุกวันนี้ สิ่งที่มีอำนาจทำได้ ก็คือการ “ขอความร่วมมือ” ผู้ประกอบการ ให้ “เรียกคืนสินค้า” จากท้องตลาด หลังตรวจสอบพบสารปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์ แค่นั้นเอง

“กฎหมายที่เอื้ออำนวยให้ อย.ทำได้ ก็คือทำหนังสือถึงบริษัท ให้เรียกคืนสินค้านั้นออกจากท้องตลาด แต่เราจะมั่นใจได้ยังไงว่า เขาเรียกคืนจริงหรือไม่ เพราะเขาไม่ได้เปิดเผยผลนี่คะ”

ตอนนี้ ทางสภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ยื่นแก้ไขกฎหมาย เพื่อเพิ่มอำนาจให้กับ อย.อยู่ โดยเปลี่ยนจาก “ขอความร่วมมือ” ไปเป็นกำหนดให้ อย.มี “อำนาจสั่งการ” ให้เจ้าของสินค้าต้องเรียกคืนสินค้าที่มีปัญหา และ “เยียวยา” คนที่ซื้อสินค้าไปแล้วด้วย



ที่เห็นมีความคืบหน้าเพิ่มเติม เกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบของ อย. ก็คือ การออกมาประกาศเตือนผู้บริโภคว่า แบรนด์ไหน-สินค้าของใคร ตรวจพบว่าปนเปื้อน-อันตราย ซึ่งเป็นผลเรียกร้องมาจากภาคประชาสังคม ที่เสนอให้ อย.เปิดเผยข้อมูลสำคัญนี้ต่อสาธารณะ

แต่สิ่งที่ อย.“ขาด” ไปคือ ต้องบอกด้วยจะ “เอาผิด” ผู้ผลิตยังไง นำเสนอการติดตามผล ให้ประชาชนได้รับรู้ด้วยว่า ปรับไปเท่าไหร่ เรียกคืนสินค้าครบหรือยัง นี่คือสิ่งที่ยังไม่เห็นจากประกาศของ อย.เวลาเจอเรื่องพวกนี้

“ผู้ประกอบการเรียกคืนสินค้าล็อตนี้ ออกจากท้องตลาดหมดแล้ว และได้ทำการทำลายแล้ว มีการปรับผู้ประกอบการ เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ คาดโทษยังไง เราไม่เคยเห็นการดำเนินการแบบนี้ของ อย.เลย

ถ้าคุณเปิดเผยพวกนี้ได้ มันจะกลายเป็นว่า อย.ทำจริง ทำหน้าที่ในการคุ้มครองผู้บริโภคจริงๆ เขาเรียกว่าได้เห็นการใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ก็จะช่วยกำราบ ผู้ประกอบการที่กำลังคิดทำแบบนั้น”



สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : เพจเฟซบุ๊ก “FDA Thai” ,” OZY Thailand - GW บริษัท”,www.fda.moph.go.th



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น