ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยรอบที่ล้าน!! พิตบูลขย้ำทารกอย่างโหดเหี้ยม ครูฝึกสุนัขมืออาชีพเผยข้อมูลน่าตกใจ พิบูลฆาตกรเคสล่าสุด ไม่ใช่พันธุ์ทั่วไป แต่คือพันธุ์ที่หลายประเทศคุมเข้ม “ห้ามเลี้ยง” แล้วทำไมประเทศไทยถึงปล่อยให้เลี้ยงได้ แบบไร้การควบคุม
** เจาะพันธุ์อันตราย “แบนด็อก” ที่ถูกแบน **
กลายเป็นเรื่องสลดซ้ำซาก กับเคส “พิตบูล” ขย้ำคน ล่าสุด เหยื่อคือ “เด็กทารก” วัย 2 เดือน เกิดขึ้นตอนที่พ่อแม่กำลังเก็บของเก่าอยู่ แล้ววางลูกน้อยไว้บนเปลรถเข็น
ทันใดนั้น เจ้า “บิ๊ก” หมาพิตบูลวัย 2 ปีที่เจ้าของบ้านเลี้ยงไว้ ก็เข้ามาคาบลูกน้อย ออกไปขย้ำต่อที่รางระบายน้ำ เจ้าของบ้านหันมาเห็น รีบไล่ให้เลิกขย้ำ แล้วรีบส่งหนูน้อยไปโรงพยาบาล แต่ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว
คนเสพข่าวพูดเป็นเสียงเดียวว่า อีกแล้วเหรอ กับสุนัขพันธุ์ดุพันธุ์นี้ ทางทีมข่าวจึงขอต่อสายตรงไปยัง เจ้าของและครูฝึกจิตวิทยาสุนัข ประจำโรงเรียน “Jojo House Dog Master”อย่าง “โจอี้-สุนทรา สัจจะวัชรพงศ์”เพื่อให้ช่วยวิเคราะห์ว่า อะไรทำให้เคสแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
จึงได้คำตอบว่า จริงๆ แล้ว เจ้า “พิตบูล (Pitbull)” ตัวในข่าว ไม่ใช่สายพันธุ์ทั่วไป แต่เป็น “แบนด๊อก (Bandog)” ที่ถูกผสมข้ามสายพันธุ์ กับสุนัขพันธุ์อื่นอย่าง บูลมาสตีฟ, โดโกอาร์เจนติโน, ร็อตไวเลอร์ ฯลฯ
จุดประสงค์คือ “เพิ่มขนาดตัว-เพิ่มแรงในการปะทะ”เพื่อเอาไว้ใช้งานหนักๆ อย่าง ล่าสัตว์ขนาดใหญ่ ซึ่งการนำพิตบูลไปผสมข้ามสายพันธุ์แบบนี้ ถือเป็นเรื่องอันตรายที่เรียกว่า ผสมได้แต่ “ห้ามจำหน่าย” หรือ “ห้ามขยายพันธุ์ต่อ”
ส่วนลูกสุนัขส่วนเกินที่เกิดมา จะต้องถูกกำจัดทิ้งทั้งหมด มันเลยได้ชื่อว่า “Bandog”เพราะหลายประเทศ “สั่งห้ามเลี้ยง” หรือถ้าอนุญาตให้เลี้ยงได้ ก็ต้องถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ทั้งในประเทศอังกฤษ, ออสเตรเลีย, แคนาดา และสิงคโปร์
{“Bandog” พิตบูลสายพันธุ์ที่ต้องถูกควบคุม}
“คือเมืองไทยเนี่ย ควรจะออกกฎหมายได้แล้ว ว่าพันธุ์ที่ประเทศอื่นเขาแบนกันเนี่ย คุณก็ควรแบนด้วย เพราะว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่มีความรู้เรื่องหมา น้อยกว่าเขาด้วยซ้ำ
แต่ว่าคนไทยเนี่ย นำเอาเข้ามา แล้วก็ breed (ผสมพันธุ์) มาขายให้กับคนที่ไม่มีความรู้ เพราะฉะนั้น มันเป็นสายที่ไม่ควรเลี้ยง มันแย่ยิ่งกว่าพิตบูลทั่วไป เพราะว่ามันตัวใหญ่”
ความน่ากลัวของสายพันธุ์นี้ เวลาเกิดเหตุเข้าขย้ำคนก็คือ แม้แต่เจ้าของเองก็อาจไม่สามารถควบคุม หรือห้ามการกระทำของมันได้ ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่กว่า และหนักกว่าพิตบูลทั่วไปถึง 2 เท่า
{“โจอี้” ครูฝึกจิตวิทยาสุนัข “Jojo House Dog Master”}
เมื่อมารวมกับ “ความดุร้าย” ในสายเลือดที่มีอยู่แล้ว เพราะต้นกำเนิดของ “พิตบูล”เริ่มแรกนั้น ถูกผสมพันธุ์ขึ้นมา เพื่อเอาไว้ลงแข่งในกีฬา “สู้วัวกระทิง (Bull-Baiting)”
มันจึงเป็นหมาที่มีแรงกัด มีพลังกายมหาศาล ทำให้การเลี้ยงพิตบูล โดยเฉพาะพันธุ์ Bandog คนเลี้ยงต้องมีความรู้และความระวังอย่างมาก
“คุณเลี้ยงพิตบูล คุณต้องระวังมากกว่าคนอื่น ที่เลี้ยง ‘ไซบีเรียนฮัสกี้’ คุณต้องระวังมากกว่าคุณเลี้ยง ‘โกลเดินริทรีฟเวอร์’ เป็น 2 3 เท่าด้วยซ้ำ เพราะว่าเหมือนคุณถือปืนไว้ในมือแล้ว ปืนอันนี้มันลั่นเมื่อไหร่ก็ได้ถูกปะ”
{“พิตบูล” กำเนิดขึ้นมา จากการ “สู้วัวกระทิง”}
** “หมาดุ” หรือ “หมาแบ๊ว” อยู่ที่การเลี้ยงดู **
ภาพจำของ “หมาพิตบูล” คือความดุร้าย ไม่ควรเข้าใกล้ เพราะถ้ากัดขึ้นมา มีถึงตาย แต่ถ้าเคยส่องสื่อโซเชียลฯ ต่างสัญชาติดู จะเจอเข้ากับคลิปน่ารักๆ จากสุนัขพันธุ์นี้ ที่ดูบ้องแบ๊ว ถึงขั้นนอนเล่นหยอกล้อกับเด็กน้อย กระดิกหางไปมาอย่างเชื่อง
เกิดเป็นคำถามคำโตว่า แล้วพฤติกรรมดุร้าย ที่ฝังอยู่ในสายพันธุ์หายไปไหน? กูรูผู้ฝึกเจ้าสี่ขารายเดิม จึงช่วยอธิบายเอาไว้ให้ว่า ความดุร้ายของหมา จริงๆ แล้ว 30% มาจาก “สายพันธุ์” ส่วนที่เหลือ ขึ้นอยู่กับ “การเลี้ยงดู”
“การเลี้ยงดูเป็นหลักเลย พี่มองว่า 70% เลย ที่ทำให้หมาจากไม่ดุ เป็นดุได้ อย่างเช่น ‘ชิวาว่า’ ก็กัดคนได้ ไม่จำเป็นต้องเป็น ‘พิตบูล’ เลย”
ประเด็นคือ คนเลี้ยงเข้าใจหมาที่ตัวเองเลี้ยงขนาดไหน? อย่าง “พิตบูล” หรือหมาที่มีนิสัยดุๆ ต้องรู้ว่าหมาพวกนี้มีพลังงานเยอะ ต้องการหาที่ปลดปล่อย
ดังนั้น การเลี้ยงให้อยู่นิ่งๆ แบบตุ๊กตาในบ้าน คือการเลี้ยงที่ไม่เหมาะสม เพราะคือการสั่งสมพฤติกรรมอันตราย เหมือนปล่อยให้ลูกโป่งอัดลมไปเรื่อยๆ เพื่อรอวันระเบิด
“1.เขาไม่ได้เผาผลาญพลังงานอย่างเต็มที่ 2.พอเผาผลาญพลังงานไม่เต็มที่ พลังงานที่เหลืออยู่ มันจะออกมาในรูปแบบ ด้านบวกหรือด้านลบ ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม เช่น ร้อน, สภาพอากาศไม่ดี, คนเลี้ยงเลี้ยงไม่ดีพอ”
ถ้าพลังงานเหลือล้นที่มี เปลี่ยนเป็น “ด้านบวก” ได้ในมุมของหมา มันจะออกมาในรูปแบบ “ความซน” ดีใจ กระโดดกระโจน ไล่งับ ไล่กัด
แต่ด้วยความที่เป็นสัตว์ เขาไม่รู้แรงตัวเอง ก็อาจทำให้คนบาดเจ็บได้ ทั้งที่ไม่ได้มีเจตนาทำร้าย เพียงแค่คิดอยากเล่นด้วย
แต่ถ้าพลังงานมากมาย ถูกผันเป็น “ด้านลบ” สุนัขเหล่านั้นก็จะมีพฤติกรรม “เจตนาทำร้าย” ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับ “สิ่งเร้าภายนอก” และ “ความเครียดของสัตว์”
** คุณสมบัติสำคัญ “คนเลี้ยง” ต้องมี!! **
ถ้าเทียบให้เห็นภาพ “หมา” ก็เหมือน “เด็ก” และ “คนเลี้ยง” ก็ไม่ต่างอะไรไปจาก “พ่อ-แม่” ที่ต้องคอยสั่งสอนให้รู้ว่า สิ่งไหนควรทำ หรือไม่ควรทำ
ที่สำคัญ สิ่งที่คนเลี้ยงต้องมีอย่างแรกเลยก็คือ “กำลังกาย” มากพอที่จะสามารถควบคุมหมาของตัวเองได้ จากนั้นคือต้องมี “กำลังทรัพย์” เพียงพอ ที่จะซื้อเครื่องออกกำลัง หรือจัดให้มีพื้นที่เลี้ยงกว้างๆ ให้สัตว์พันธุ์ดุได้ปลดปล่อยพลังงาน
นอกจากนี้ ควรปรับปรุงบ้านของตัวเอง ให้มีรั้วรอบขอบชิด ป้องกันไม่ให้หมาหลุดออกไปทำร้ายคนอื่น และสุดท้าย สำคัญไม่แพ้ข้ออื่นคือ ต้องมี “ทรัพยากรเวลา” ฝึกน้องหมาให้เชื่อฟังคำสั่ง และเรียนรู้วิธีจัดการกับน้องหมาได้ เวลาเกิดเหตุไปทำร้ายคนอื่น
“คุณมีเวลา ที่จะทำแบบนั้นไหม ทำไป 10 กว่าปี จนถึงเวลาที่มันเสียชีวิตนะ ไม่ใช่แค่คุณทำ 2 ปีแรก จบ ไม่ใช่”
หรือแม้เวลาทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อฝึกให้หมา“เข้าสังคมเป็น” อย่างการพาออกไปข้างนอก ไปออกกำลังกาย สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่สำคัญเหมือนกัน เพราะถ้าหมารู้จักออกไปเจอสังคม เจอผู้คน เจอหมาตัวอื่นตั้งแต่เล็กๆ
ปัญหาเรื่องการเข้าทำร้ายผู้คน ก็จะลดน้อยลง เพราะน้องหมาตัวนั้นๆ เคยชินกับการอยู่กับผู้คน และสิ่งเร้าต่างๆ รอบตัวแล้ว
วัดจากประสบการณ์ของกูรูรายนี้ ที่เคยช่วยบำบัดพฤติกรรมของ “พิตบูลที่ก่อเหตุขย้ำคนตาย” มาแล้ว โจอี้ยืนยันว่า พิตบูลสามารถฝึกให้ "เชื่องและเป็นมิตร" ได้ เพียงแต่เจ้าของต้องมี 3 องค์ประกอบหลักๆ นี้คือ “ความรู้” “เวลา” และ “ความระมัดระวัง” ให้มากกว่าการเลี้ยงสุนัขพันธุ์อื่นๆ
เทียบกับเคสสลดในต่างแดนอย่าง “อเมริกา” จะพบว่ามีเคสคล้ายๆ กันเกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน “แต่น้อยกว่าแน่นอน” เพราะคนเลี้ยงที่นู่นระวังอย่างมาก ด้วยการศึกษา ตั้งใจฝึกหมาให้เป็นมิตร เพื่อไม่ให้ไปทำร้ายคนอื่น
แรงผลักเบื้องหลังสำคัญ เป็นเพราะกฎหมายของอเมริกา กำหนดบทลงโทษเอาไว้แรงมาก คือถ้าหมาไปทำร้ายคนอื่นจนตาย เจ้าของต้อง “โทษอาญา” ฐานฆ่าคนตายโดยประมาท โดยอาจถูก “จำคุก 5-10 ปี” หรือสูงกว่านั้น ขึ้นอยู่กับกฎหมายแต่ละรัฐ
นอกจากนี้ ยังมี “คดีแพ่ง” ให้ต้องรับผิดชอบด้วยกำลังทรัพย์ตาม “หลักกฎหมายความรับผิดชอบโดยเคร่งครัด (Strict Liability)” ส่งผลให้เจ้าของหมาต้องชดใช้ค่าเสียหายทุกอย่าง โดยไม่มีข้ออ้างอื่นใดว่า เป็นการกระทำที่เกิดจากความประมาทของเจ้าของหรือเปล่า โดยต้องชดใช้ถึงหลัก “แสนเหรียญสหรัฐ” เลยทีเดียว
หันกลับมามองประเทศไทย เมื่อเกิดเหตุสลดในรูปแบบเดียวกัน การตัดสินโทษจะเข้าข่ายตามประมวลกฎหมายอาญา “มาตรา 291” กระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย “จำคุกไม่เกิน 10 ปี” และ “ปรับไม่เกิน 200,000 บาท”
ส่วนการจ่ายเยียวยาใน “คดีแพ่ง” ของไทยเรานั้น “ค่าสินไหมทดแทน” ที่เจ้าของหมาต้องชดใช้ จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาล รวมถึงหลักฐานในคดี ซึ่งส่วนใหญ่มูลค่าจะไม่สูงเท่าคดีในสหรัฐฯ อย่างที่กูรูคอนเฟิร์มไว้ว่า กฎหมายบ้านเมืองเรา “อ่อนเกินไป” จริงๆ
ดูโพสต์นี้บน Instagram
@livestyle.official ...ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยรอบที่ล้าน!! ครูฝึกสุนัขมืออาชีพเผยข้อมูลน่าตกใจ พิบูลฆาตกรเคสล่าสุด ไม่ใช่พันธุ์ทั่วไป แต่คือพันธุ์ที่หลายประเทศคุมเข้ม "ห้ามเลี้ยง" @joeydogmaster7... . คำถามคือ แล้วทำไมประเทศไทยเรา ถึงได้ปล่อยให้เลี้ยงกัน แบบไร้การควบคุม? พร้อมข้อมูลที่ "คนเลี้ยงน้องหมาพันธุ์ดุ" ห้ามปล่อยผ่าน . #LIVEstyle #LIVEstyleofficial #ข่าวTikTok #TikTokCommunityTH #ทาสหมา #ทาสหมาทาสแมว #หมา #คนรักสัตว์ #ฝึกหมา #สอนหมา #พิตบูล #เตือนภัย #เตือนภัยใกล้ตัว ♬ เสียงต้นฉบับ - LIVE Style
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : canidalavoro.it, IG @presa_dogo_global, www.reddit.com, br-sparkpaws.com, YouTube “Inside Edition”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **