โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จัดกิจกรรม "วันอัลไซเมอร์โลก" จุดประกายประชาชนรับมือยุคที่ประเทศไทย ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ชูวิสัยทัศน์ดูแลผู้สูงวัยรอบด้าน ทั้งร่างกายและจิตใจ เดินหน้านำร่อง "หุ่นยนต์สัตว์บำบัด"
ทั้งสุนัขและแมวใช้งานจริง ที่ศูนย์ดูแลภาวะสมองเสื่อมของโรงพยาบาลฯ ช่วยกระตุ้นการสื่อสารระหว่างผู้สูงอายุกับผู้คนรอบข้าง พร้อมต่อยอดแนวคิดการบำบัดด้วยดนตรีและกายภาพสู้ภัยสมองเสื่อม
** ผู้หญิงมีโอกาส "อัลไซเมอร์" มากกว่าผู้ชาย **
รศ.นพ.สุขเจริญ ตั้งวงษ์ไชย หัวหน้าศูนย์ดูแลภาวะสมองเสื่อม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวถึงภาวะสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ว่า อาการหลงลืมคือเรื่องปกติที่เกิดขึ้นตามวัย แต่ภาวะสมองเสื่อม (Dementia)
คือภาวะที่ความสามารถในการรู้คิด 6 ด้าน ได้แก่ ความจำ สมาธิ การบริหารจัดการ ภาษา การรับรู้เชิงพื้นที่และการเคลื่อนไหว และการเข้าสังคม เสื่อมถอยลงมากจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
โดย โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's Disease) ซึ่งเป็นกรณีที่พบบ่อยของภาวะสมองเสื่อม และมักแสดงอาการเริ่มต้นที่ความจำใหม่ๆ แย่ลงนั้น ถือว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับสังคมสูงอายุของไทย เนื่องจากอายุที่มากขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดของการเกิดโรคอัลไซเมอร์
“ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้วตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยมีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุถึง 20% และคาดการณ์ว่าในปี 2573 สัดส่วนนี้จะเพิ่มสูงขึ้นเป็นประมาณ 28% ซึ่งจัดอยู่ในระดับสังคมสูงอายุขั้นสูงสุด (Super-aged Society)
เหมือนกับบางประเทศในญี่ปุ่นหรือแถบสแกนดิเนเวีย เมื่อประชากรมีอายุยืนยาวขึ้นและมีสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นในสังคม จึงส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ทำให้สังคมต้องเผชิญกับความท้าทาย ในการดูแลสุขภาพสมอง และจัดการกับภาวะสมองเสื่อม ในผู้สูงวัยอย่างจริงจังมากขึ้น”
รศ.นพ.สุขเจริญ เผยว่าผู้หญิงมีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์มากกว่าผู้ชายถึง 2 ใน 3 และผู้ที่มีประวัติครอบครัวสายเลือดเดียวกัน เป็นอัลไซเมอร์ จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นเท่าตัว โดยโรคนี้มีสาเหตุจากโปรตีนอะไมลอยด์และเทาโปรตีน ที่สะสมในสมองมานานกว่า 20 ปีก่อนแสดงอาการ
สำหรับผู้ป่วยสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ การดูแลสุขภาพกายและใจถือเป็นเรื่องสำคัญ ด้วยวิสัยทัศน์นี้ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในฐานะสถาบันการแพทย์ชั้นนำของประเทศจึงจัดกิจกรรม “21 กันยายน วันอัลไซเมอร์โลก” ประจำปี 2568 ขึ้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568
โดยในงานมีการแสดงนวัตกรรมหลายด้านมาประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วย ทั้งแนวคิดการบำบัดด้วยดนตรีและกายภาพ รวมถึงการสาธิตการใช้ หุ่นยนต์สัตว์เลี้ยงบำบัด เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตอย่างรอบด้าน
** "หุ่นยนต์สัตว์เลี้ยงบำบัด" เพื่อนคลายเหงา สร้างบทสนทนา **
ภายในงานวันอัลไซเมอร์โลก โรงพยาบาลจุฬาฯ ได้นำหุ่นยนต์สัตว์เลี้ยงหลายรูปแบบ ทั้งลูกสุนัข แมว และแมวน้ำที่มีระบบเซ็นเซอร์ แสดงพฤติกรรมอบอุ่น มีเสียงร้องและขยับตัวได้เสมือนจริง มาเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม "ดนตรีบำบัด"
โดยนักจิตวิทยาของศูนย์ดูแลภาวะสมองเสื่อม ชี้ให้เห็นว่า หุ่นยนต์เหล่านี้ช่วยกระตุ้นการสื่อสาร ระหว่างผู้สูงอายุกับผู้คนรอบข้าง ทำให้อารมณ์สงบขึ้น และบางรายถึงกับพูดคุยกับหุ่นยนต์เป็นเรื่องเป็นราว สร้างบทสนทนาใหม่ๆ ได้
นอกจากนี้ การใช้หุ่นยนต์ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือการทำร้ายที่อาจเกิดจากสัตว์เลี้ยงจริงได้อีกด้วย
โดยประชาชนทั่วไปที่สนใจ สามารถประยุกต์ใช้ตุ๊กตาสัตว์ที่มีเสียงร้อง หรือตุ๊กตาที่มีลักษณะเป็นมิตร มาพูดคุย และสร้างปฏิสัมพันธ์ เพื่อกระตุ้นสมองและอารมณ์ได้เช่นกัน
สำหรับหุ่นยนต์สัตว์เลี้ยงบำบัดที่ถูกนำมาสาธิตบนเวที ประกอบด้วย PARO หุ่นยนต์บำบัดรูปแมวน้ำตัวน้อยน่ารัก สีขาวนุ่มฟู พัฒนาโดย ดร.ทากาโนริ ชิบาตะ หัวหน้านักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมขั้นสูงแห่งชาติของญี่ปุ่น (AIST)
ในปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 9 ได้รับการรับรองเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์จากหน่วยงานในสหรัฐอเมริกาและยุโรป เพื่อใช้บำบัดผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ ภาวะซึมเศร้า และพฤติกรรมทางจิตเวช (BPSD)
นอกจากนี้ยังมีหุ่นยนต์สัตว์เลี้ยงบำบัด Joy for All หุ่นยนต์สัตว์เพื่อนใจ (Companion Pets) ที่พัฒนาโดยบริษัท Ageless Innovation LLC ซึ่งเป็นบริษัทสปินออฟจาก Hasbro ในปี 2017 เพื่อนำความสุขมาสู่ผู้สูงอายุ
โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ หรือภาวะสมองเสื่อม ผ่านตุ๊กตาหุ่นยนต์รูปแมวและสุนัขที่เลียนแบบสัตว์จริง ขนนุ่ม ตอบสนองต่อการสัมผัสและเสียงด้วยการร้องคราง เสียงหายใจ และจังหวะการเต้นของหัวใจ
ซึ่งช่วยลดความเหงา คลายเครียด และเพิ่มคุณภาพชีวิตโดยไม่ต้องดูแลแบบสัตว์จริง มีงานวิจัยและการทดลองทางคลินิกที่ได้รับการรับรอง แสดงให้เห็นว่าการเล่นและปฏิสัมพันธ์เหล่านี้ช่วยปรับปรุงอารมณ์ พฤติกรรม และตัวชี้วัดสุขภาพ
เช่น ความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด โดยไม่มีผลข้างเคียง ได้รับรางวัล Caregiver Friendly Award ติดต่อกันในปี 2016-2017 จนกลายเป็นเครื่องมือบำบัดยอดนิยมในบ้าน และสถานดูแลผู้สูงอายุทั่วโลก
** บำบัดด้วย "ดนตรี" และ "กายภาพ" เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น **
นอกจากการบำบัดด้วยหุ่นยนต์ตุ๊กตาเพื่อนใจแล้ว ยังมีการแนะนำถึงประโยชน์ของ "ดนตรีบำบัด" และ "กายภาพบำบัด" ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวัน โดยนักดนตรีบำบัดเผยว่า เพลงที่ผู้ป่วยคุ้นเคยและชื่นชอบ สามารถเป็นสื่อกลางในการกระตุ้นสมองได้หลายด้าน
โดยเฉพาะจังหวะที่ส่งผลต่อการตอบสนองของร่างกายโดยตรง กิจกรรมที่น่าสนใจได้แก่ การเติมคำในช่องว่างของเพลง การดัดแปลงเนื้อเพลงเพื่อฝึกความจำระยะสั้น หรือใช้เสียงเพลงเพื่อกระตุ้นการเคลื่อนไหว
เช่น การยกมือขึ้นลง การลุกขึ้นยืนแล้วเดิน หากผู้ป่วยไม่ชอบดนตรี ควรลองปรับเปลี่ยนเพลง จังหวะ หรือแค่ร้องเพลงสบายๆ เพื่อให้ผู้ป่วยร่วมกิจกรรมได้
สำหรับกายภาพบำบัด นักกายภาพบำบัดจากศูนย์ดูแลภาวะสมองเสื่อม ได้ออกแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสม ปลอดภัย และไม่ยาก เน้นการป้องกันและฟื้นฟู
โดย 3 เคล็ดลับสำคัญคือ 1.ทำไปพร้อมกัน ไม่ควรปล่อยให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมคนเดียว 2.ทำเป็นกระจก ผู้ดูแลหันหน้าเข้าหาผู้ป่วยและทำท่าตรงข้าม ช่วยลดความวิตกกังวลและความสับสนเรื่องทิศทาง และ 3. ทำให้สนุก สร้างความเพลิดเพลินไม่น่าเบื่อ
ตัวอย่างท่าออกกำลังกายง่ายๆ เช่น กำมือ-แบมือ ยักไหล่ หรือเขย่งขาพร้อมยกแขน ซึ่งมีวิดีโอตัวอย่างเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของศูนย์ฯ และมีหนังสือ "กิจกรรมกระตุ้นสมอง" และกิจกรรมออกกำลังกายจัดจำหน่ายด้วย
สำหรับแนวทางปฏิบัติของประชาชนและผู้ดูแล รศ.นพ.สุขเจริญ กล่าวระหว่างการเสวนาในหัวข้อ "รู้เท่าทัน ป้องกันอัลไซเมอร์" ซึ่งได้เน้นย้ำถึงปัจจัยเสี่ยง และแนวทางการป้องกันที่ประชาชนควรทราบไว้ 4 ด้าน
ได้แก่ 1.ด้านการนอนหลับ โดยการนอนหลับไม่ดี นอนกรน หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ล้วนเพิ่มความเสี่ยงของโรค ขณะที่การนอนหลับลึกในช่วง 3 ชั่วโมงแรก สำคัญต่อการชำระล้างของเสียในสมอง ไม่ควรนอนกลางวันเกินครึ่งชั่วโมง และควรนอนตะแคงแทนการนอนหงาย
2.ด้านสุขภาพช่องปาก ทั้งปัญหาฟันผุและการติดเชื้อในช่องปาก ล้วนกระตุ้นการอักเสบและทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น ขณะที่การเคี้ยวโดยใช้ฟันน้อยลงก็เป็นปัจจัยเสี่ยง
3.ด้านแสงสว่าง เนื่องจากการนอนในที่สว่างจะไม่เป็นผลดี เพราะรบกวนวงจรชีวิตและขัดขวางการชำระล้างโปรตีนในสมอง
และ 4.ด้านสุขภาพโดยรวม คำแนะนำคือควรใช้สมองอย่างต่อเนื่อง ออกกำลังกาย ลดความเครียด รักษาโรคประจำตัว (ไขมัน เบาหวาน ความดัน) กินอาหารที่ดี หลีกเลี่ยงสารเสพติด (งดสูบบุหรี่) มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม หมั่นตรวจฟัน และฝึกสมาธิ
ในส่วนผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม โรงพยาบาลจุฬาฯ ยังได้แนะนำ "4 คำหลักในการดูแลผู้ป่วยอย่างสงบสุข" ได้แก่ ยืดหยุ่น ไม่เถียง เบี่ยงเบน เห็นอกเห็นใจ เพื่อช่วยให้การสื่อสารและการดูแลเป็นไปอย่างราบรื่น
เพราะการโต้เถียงกับผู้ป่วยสมองเสื่อมไม่เกิดประโยชน์ ผู้ป่วยจะจำไม่ได้แต่ผู้ดูแลจะรู้สึกแย่เอง ผู้ดูแลที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ สามารถเข้าร่วม หลักสูตรผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม 100 ชั่วโมง ของศูนย์ดูแลภาวะสมองเสื่อมได้
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **