อมเงินบริจาค ผันไปเป็นบ้านหรู!! บทเรียนสายบุญ กับการศรัทธาตัวบุคคลเกินเหตุ บริจาคผ่านอินฟลูฯ ปล่อยให้พวกเขาได้สร้างตัวตนผ่านสื่อ หาช่องโหว่จากความไม่ไว้ใจ “ระบบเงินวัด” จนสามารถหากินได้เป็นกอบเป็นกำ จากแรงศรัทธาของชาวพุทธ
** หมอดูดัง ผันเงินบุญ เป็นเงินทุน **
“วัด 70 กรรมการ 30” นี่คือเรื่องราวที่กำลังเป็นกระแส เมื่อคนที่เรียกตัวเองว่า อินฟลูฯ สายบุญ อย่าง “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” (เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล) หมอดูและหมอปราบผีชื่อดัง ถูกกล่าวหาว่า ผัน “เงินแห่งศรัทธา” ที่ชาวบ้านร่วมบริจาคให้ “วัดพระบาทน้ำพุ” ไปใช้เป็น “เงินทุนส่วนตัว”
โดยหมอบีไปเปิดบัญชีรับบริจาค ใช้ชื่อว่า “ใจฟ้า อาทรประชานาถ”เอาไว้รับเงินบริจาค อ้างว่าเพื่อเอาไปสร้างสาธารณะกุศลให้กับวัดพระบาทน้ำพุ
แต่แทนที่พอได้เงินมาแล้ว จะโอนเข้าบัญชีวัดโดยตรง เจ้าตัวกลับถอนเป็น “เงินสด” แล้วนำไปถวายให้วัดแทน ผลักให้เกิดคำถามอย่างหนักว่า ตกลงแล้ว เงินไปถึงวัด 100 เปอร์เซ็นต์หรือเปล่า?
{“หมอบี”หมอดูผู้พัวพัน เคสเงินวัด}
เกี่ยวกับเรื่องนี้ “เกิดผล แก้วเกิด” ทนายจากฟากวัดพระบาทน้ำพุ เผยเอาไว้ในรายการ “โหนกระแส” ว่า หมอบีดึงเอาเงินบริจาคตรงนี้ ราวๆ 40-50 ล้านออกมา โดยบอกกับวัดว่า จะเอาไปสร้าง “ศูนย์ปฏิบัติธรรม”
แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้น เพราะสุดท้าย เงินก้อนจำนวนมหาศาลตรงนั้น กลับกลายเป็นถูกเอาไป “สร้างบ้าน”ของหมอบีเอง นี่ยังไม่นับเรื่องที่เอาเงินไปซื้อของใช้ส่วนตัว อย่าง สร้อย, แหวน และกระเป๋าหรู อีกจำนวนนึง
ฟากเจ้าอาวาส วัดพระบาทน้ำพุ อย่าง “หลวงพ่ออลงกต พลมุข”เอง ก็ไม่ทราบเรื่องตัวเงินบริจาคเหมือนกันว่า จริงๆ แล้วได้มาเท่าไหร่ เพราะทีมงานของหมอบี เป็นฝ่ายจัดการเองทั้งหมด
“เขาทำแค่สรุปรายได้ถวายแค่ไหน เราถึงไม่รู้ว่า ได้มาล้านนึง ถวายล้านนึงจริงไหม เขาบอกล้านนึงคือล้านนึง เราไม่ได้ไปตามว่า เขาได้มาเท่าไหร่ไง”ทนายตัวแทนวัด ชี้แจงเอาไว้แบบนั้น
{“เกิดผล แก้วเกิด” ทนายความ ตัวแทนวัด}
พอเรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมา คนที่เคยนับถือศรัทธาในตัวหมอดูคนดังกล่าว ต่างรู้สึกอกหักกันเป็นแถว แต่ถ้าให้วัดจากมุมมองของคนที่เคยมีประสบการณ์ อยู่ในแวดวงผ้าเหลืองโดยตรง อย่าง “แพรรี่” (ไพรวัลย์ วรรณบุตร)อดีตพระเปรียญธรรม 9 เจ้าของฉายา“มิสเปรียญ 9”แล้ว
เธอมองว่าทางที่ดี ชาวพุทธควรเลิกนับถือที่ตัวบุคคล แล้วเน้นศรัทธาในพระธรรมจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า กับคนที่เข้ามาหาผลประโยชน์จาก “ความเชื่อ”ของเพื่อนมนุษย์
โดยเฉพาะความเชื่อฝังหัวแบบผิดๆ ที่ชอบตีความกันไปเองว่า เหล่าคนปฏิบัติธรรมต้องมีญาณทิพย์ หรือมีสัมผัสพิเศษเหนือคนทั่วไป และเลือกใช้คนเหล่านี้มายึดเหนี่ยวจิตใจ หนักไปถึงขั้นเชิดชูเป็นฮีโร่
ถ้ายังไม่ลด-ละ-เลิก พฤติกรรมเหล่านี้ ก็จะถูก “พวกมิจฉาชีพในคราบนักบุญ”หลอกซ้ำๆ แบบนี้ไม่จบไม่สิ้น
“ตราบใดที่คนเรา พยายามแต่จะหาฮีโร่ หาผู้วิเศษมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ อันเต็มไปด้วยความกลัวและความหลง
แต่ไม่ได้พยายามที่จะมีธรรม มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่ได้พยายามที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยตัวของตัวเอง คือไม่พึ่งตัวเอง มันก็มีแต่จะผิดทางอยู่ร่ำไป”
{“แพรรี่”อดีตพระนักเทศน์เปรียญ 9}
** สร้างภาพศรัทธา จนกลายเป็น “ฮีโร่” **
ทำไมผู้คนจำนวนไม่น้อย ถึงได้ชอบทำบุญให้ทาน “บริจาคผ่านเหล่าอินฟลูฯ” ทั้งที่ในความจริงแล้ว สำหรับยุคนี้ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาช่องทาง“บริจาคโดยตรง” ให้วัดหรือองค์กรการกุศล
ที่เป็นแบบนี้ “ต้น-อภินันท์ ธรรมเสนา” ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) วิเคราะห์ให้ทีมข่าวฟังว่า...
“การทำทาน” โดยเฉพาะเรื่อง “บริจาคเงิน” ในสังคมไทย มันคือ “ความเชื่อใจ” และการที่เราเห็นภาพคนดัง อินฟลูฯ ต่างๆ ตระเวนออก “ช่วยเหลือคน” อยู่ตลอดเวลาผ่านหน้าสื่อ ก็ยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือ โน้มนาวใจผู้คนได้มากขึ้นอีก
อย่างกรณี “หมอบี” เขาเริ่มจากเข้าไปเป็น “จิตอาสา” ในวัดพระบาทน้ำพุมาก่อน มีการขายของ จัดงานทอดผ้าป่าระดมทุน ช่วยเหลือวัดมาหลายปี ไม่ใช่ว่าจู่ๆ จะมาเปิดบัญชีรับเงินบริจาคได้เลย
“นี่คือกระบวนการที่เขาทำ จนเรารู้สึกว่า สิ่งที่เขาทำเนี่ย มันน่าเชื่อถือ ทำจริง-ไม่จริง เราไม่รู้นะ แต่ภาพมันว่าทำ"
ซึ่งมันก็ทำให้คนมีความศรัทธา จนรู้สึกเชื่อใจว่า เขาบริจาคจริง ช่วยเหลือคนจริง ถ้าจะให้เงิน ก็ต้องคนพวกนี้แหละ ที่จะไม่ทำให้เงินเราเสียเปล่า
“เพราะภาพของคนคนนี้ ไม่โกง ไม่กิน ไม่คอร์รัปชัน ช่วยเหลือคน เพราะฉะนั้น เราเอาเงินให้เขา เราจะได้ช่วยเหลือคนต่อ”
จึงเกิดเป็นกลุ่มคนที่เลือกเอาเงินไปให้ “คนดัง” แทนที่จะบริจาคกับ “วัดโดยตรง” ซึ่งหลักๆ มี 2 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มแรก กลุ่ม “แฟนคลับ” ที่ศรัทธาในตัวอินฟลูฯ คนนั้น จากภาพลักษณ์ที่พวกเขาสร้าง ผลักให้อยากสนับสนุนอินฟลูฯ คนนั้น
กับกลุ่มที่ 2 คือ “คนที่อยากทำบุญ แต่ไม่ไว้ใจพระ” จากข่าวฉาวต่างๆ ที่ออกมาช่วงหลังๆ ผลักให้หลายคนไม่เหลือความเชื่อใจต่อ “ระบบเงินวัด” จนต้องหันมาฝากบุญกับคนดัง เพราะมองว่าน่าเชื่อถือกว่า แต่สุดท้าย ผลที่ได้กลับไม่ต่างกัน
“อยากจะทำบุญ แต่ไม่ไว้ใจพระ พระก็ดูมีปัญหาเนอะ มีข่าวแย่ไปหมดเลย งั้นไอ้คนนี้นี่แหละวะ เขาไม่ได้เป็นพระ แล้วดูดิ เขาทำจริงๆ จังๆ งั้นไว้ใจกับคนดีกว่า เพราะเชื่อมั่นในคน มากกว่าสถาบันศาสนา”
เรื่องความรู้สึก “ไม่เชื่อในระบบ” ไม่ได้เกิดแค่กับ “วงการผ้าเหลือง” เท่านั้น แต่หมายถึงภาพรวมทั้งประเทศ ดูได้จากการส่งมอบความช่วยเหลือ จากเหตุการณ์ “การปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา”ในครั้งนี้ ที่ผู้คนเลือกบริจาคผ่านอินฟลูฯ มากกว่า
ผลักให้เกิดคนอย่าง “กันจอมพลัง”, “กลุ่มสายไหมต้องรอด” หรือเหล่าอินฟลูฯ อีกหลายคน ที่ยื่นมือลงไปช่วยคนที่เดือดร้อน จึงไม่แปลกถ้าคนในสังคมส่วนใหญ่ จะเชื่อถือ เชิดชู และศรัทธาเหล่าอินฟลูฯ เป็น “ฮีโร่” ได้อย่างสนิทใจ
{“ต้น-อภินันท์” นักมานุษยวิทยา}
** “วัด” แหล่งหากิน อินฟลูฯ สายบุญ **
ภาพลักษณ์ “คนดี” จากความศรัทธาเหล่านี้นี่เอง ที่กลายเป็นช่องโหว่ให้ “อินฟลูฯ สายบุญ” หลายราย พบหนทาง “หากินกับเงินบริจาค” จนเกิดการโกงหลักแสน-หลักล้าน อย่างเคสล่าสุดนี้ก็ไม่ต่างกัน
ลองให้คนวงในช่วยวิเคราะห์ปรากฏการณ์เหล่านี้ “จตุรงค์ จงอาษา” นักวิชาการด้านพุทธศาสนา จึงบอกข้อมูลที่น่าตกใจเอาไว้ว่า เคส “อมเงินแห่งศรัทธา” โดยการใช้โมเดล “วัดครึ่งนึง กรรมการครึ่งนึง” มีอินฟลูฯ สายบุญใช้เยอะมาก
“ตอนนี้ อินฟลูฯ หลายๆ คนเนี่ย ก็หากินกันหลายๆ ด้าน 1 ในนั้นก็คือวัด ซึ่งเรายอมรับว่า พุทธพาณิชย์มันดรอปลงจริงๆ ไม่ว่าจะพุทธพาณิชย์สายการแพทย์ แบบหลวงพ่ออลงกต หรืออะไรก็ตาม มันดรอปหมดแหละ”
หลายวัดทุกวันนี้ ไม่มีความสามารถในการระดมเงินมาบำรุงศาสนสถาน เลยต้องอาศัยกระแสจากคนดัง เพื่อดึงให้ผู้คนมาร่วมลงขันบริจาค จนกลายเป็นช่องโหว่ให้คนบางกลุ่ม เข้ามาอาศัยวัดเป็น “แหล่งตักตวงผลประโยชน์”
ถ้ามองอย่างวางใจเป็นกลาง ในอีกมุมนึง การชักเงินบริจาคออกไปใช้ส่วนตัว เช่น ดึงไปเป็นค่าน้ำมัน, ค่าเดินทาง หรือค่าดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการด้านศาสนาพุทธรายนี้มองว่า ยังเป็น “เรื่องปกติ” อยู่ ตราบเท่าที่มันถูกหักออกไปใช้อย่างเหมาะสม
แต่ในหลายๆ กรณี อย่างเคสล่าสุด มันกลายเป็นว่า เงินบริจาคที่ชาวบ้านฝากมา ถูกแปลงไปเป็น บ้านหรู, ของแบรนด์เนม, สิ่งของฟุ่มเฟือยส่วนตัว ซึ่งแน่นอนว่าไม่เหมาะสม และจะโทษอินฟลูฯ อย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะตัววัดเองก็ผิด ที่มอบอำนาจให้เขาไปจัดการเองทั้งหมด
“เราไม่ควรจะจู่ๆ ไปมอบอำนาจทางการเงิน แบบกรณีหมอบี ไปมอบอำนาจทางการเงินให้เขาไปเลย แล้วก็ให้เขาหักมาจ่าย คุณทำอย่างนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับเซียนพระ มันก็ไม่ต่างอะไรจากที่ผ่านๆ มาในอดีต”
{“จตุรงค์” นักวิชาการด้านพุทธศาสนา}
ดูโพสต์นี้บน Instagram
...อาศัยช่องโหว่ จากความไม่ไว้ใจ "ระบบเงินวัด" จนคนเหล่านี้ สามารถหากินได้เป็นกอบเป็นกำ จากแรงศรัทธาของชาวพุทธ?...
.@phrabatnampu
.#หมอบีทูตสื่อวิญญาณ #วัดพระบาทน้ำพุ #หลวงพ่ออลงกต #บริจาค
.
อ่านเต็มๆ>> https://t.co/Wk1znyAo4N pic.twitter.com/benqEru8gD— LIVE Style (@livestyletweet) August 10, 2025
@livestyle.official ...อมเงินบริจาค ผันไปเป็นบ้านหรู!? บทเรียนสายบุญ กับการศรัทธาตัวบุคคลเกินเหตุ @dhammaluangporalongkot... . บริจาคผ่านอินฟลูฯ ปล่อยให้ได้สร้างตัวตนผ่านสื่อ อาศัยช่องโหว่ จากความไม่ไว้ใจระบบเงินวัด จนคนเหล่านี้ สามารถหากินได้เป็นกอบเป็นกำ จากแรงศรัทธาของชาวพุทธ . #LIVEstyle #LIVEstyleofficial #ข่าวTikTok #TikTokCommunityTH #พระ #พระสงฆ์ #วัด #วัดดัง #พระพุทธศาสนา #ความเชื่อ #ธรรมะ #ปฏิบัติธรรม #หมอดู #หมอผี #หมอบี #หมอบีทูตสื่อวิญญาณ #เงินวัด #วัดพระบาทน้ําพุ #หลวงพ่ออลงกต #พระราชวิสุทธิประชานาถ #บริจาค #ทําบุญ #พุทธพาณิชย์ ♬ เสียงต้นฉบับ - LIVE Style
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : Facebook “จตุรงค์ จงอาษา”, “ไพรวัลย์ วรรณบุตร”, “งมงาย สไตล์หมอบี”,”ทนายเกิดผล แก้วเกิด”, Instagram @ghostambassador
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **