ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ทำการสำรวจข้อมูลวัดร้างทั่วประเทศ พบว่าปี 2566 เมืองไทยเมืองพุทธมีวัดร้างจำนวนกว่า 5,678 วัด โดย จ.เชียงใหม่ ครองอันดับ 1 วัดร้างสูงสุด 924 ขณะเดียวกัน พบการขออนุญาติตั้งวัดใหม่ต่อเนื่องทุกปี เกิดอะไรขึ้น...ชวนย้อนมองปรากฎการณ์ “วัดร้าง” และ “วัดใหม่” การเปลี่ยนผ่านของพุทธศาสนาแห่งยุคสมัย
ข้อมูลพื้นฐานทางพระพุทธศาสนา ประจำปี 2566 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยจำนวนตัวเลขวัดร้างในประเทศไทย ทั้งสิ้น 5,678 วัด โดย 5 จังหวัด ที่มีวัดร้างสูงสุด ได้แก่ อันดับ 1 จ.เชียงใหม่ 924 วัด, อันดับ 2 พระนครศรีอยุธยา 501 วัด, อันดับ 3 สุโขทัย 342 วัด, อันดับ 4 นครศรีธรรมราช 331 วัด และอันดับ 5 ลำพูน 272 วัด
บทความเรื่อง “พุทธวิธีพัฒนาวัดร้างในประเทศไทยให้เป็นวัดที่รุ่งเรือง” โดย ดร.พัฒน์ธนธร ตันติเวชยานนท์ ระบุความว่าวัดในพระพุทธศาสนาในประเทศไทย นับตั้งแต่ปี 2514 ถึงปัจจุบัน มีวัดที่ถูก ทิ้งร้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 75 วัด ในจำนวนวัดที่มีอยู่ในปัจจุบันประมาณ 37,689 วัด โดยสาเหตุที่ทำให้มีวัดร้างเพิ่มขึ้นมาจากวัดขาดพระสงฆ์อยู่ดูแล
การที่วัดถูกทิ้งร้างยังมีสาเหตุมาจาก 1. หาพระภิกษุที่มีความรู้และเคร่งครัดในพระธรรมวินัยไม่ได้ ซึ่งในวัดมักจะมีหลวงพ่อหลวงตาที่อายุมากแล้ว แต่ไม่มีความรู้ อยู่วัดไปวันๆ และไม่มีความสามารถที่จะพัฒนาต่อไป 2. ผู้ชายจะนิยมการบวชเป็นสามเณรมากกว่าบวชเป็นพระภิกษุ ที่บวชเป็นสามเณร มีจำนวนน้อยที่คิดจะอยู่ต่อถึงบวชเป็นพระภิกษุ พระภิกษุบางรูปเมื่อศึกษาจบก็นิยมลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาส
3.ชุมชนส่วนใหญ่จะเลื่อมใสศรัทธาพระสงฆ์ที่เป็นคนในพื้นที่ ไม่นิยมศรัทธาพระสงฆ์ ที่มาจากพื้นที่อื่น เมื่อคนในพื้นที่ไม่นิยมบวช ก็ไม่มีพระภิกษุสามเณรที่อยู่ดูแลวัด และ 4. เกิดจากความขัดแย้ง แบ่งเป็นหลายฝ่ายในวัดหรือนอกวัด พระสงฆ์ก็อยู่ด้วยความยากลำบาก ในที่สุดพระสงฆ์ก็อยู่ในวัดต่อไปไม่ได้
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของวัดร้างถือได้ว่าเป็นการเพิ่มในอัตราที่น่าเป็นห่วงและเป็นอันตราย ต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทยอย่างมาก เพราะวัดเป็นสถานที่หลักเพื่อการเผยแผ่ธรรมะ การศึกษาและนำไปสู่การบรรลุธรรมของพระสงฆ์และฆราวาส เป็นสถานที่สร้างพระภิกษุให้มีคุณภาพ เป็นสถานที่สร้างประชาชนให้เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี
ข้อมูลจาก “LIRT : คลังสารสนเทศของสถาบันนิติบัญญัติ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร” เปิดจำนวนพระและสามเณร ในประเทศไทยปี 2566 โดยพบว่า พระภิกษุ ปี 2566 มีจำนวน 256,219 รูป สามเณร ปี 2566 จำนวน 33,924 รูป รวม 290,143 รูป
โดยวัดที่มีพระภิกษุอยู่จำพรรษาทั่วประเทศ 43,563 วัด แบ่งเป็น มหานิกาย 38,934 วัด, ธรรมยุต 4,588 วัด, จีนนิกาย 16 วัด และอนัมนิกาย 25 วัด วัดพระอารามหลวง 311 วัด แบ่งเป็น มหานิกาย 248 วัด และธรรมยุต 63 วัด และ วัดราษฎร์ แบ่งเป็น มหานิกาย 38,686 วัด ธรรมยุต 4,525 วัด จีนนิกาย 16 วัด และอนัมนิกาย 25 วัด
อย่างไรก็ดี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) มีหน้าที่ดูแลและจัดการวัดร้าง โดยมีแนวทางในการฟื้นฟูหรือใช้ประโยชน์จากวัดร้าง เช่น การยกวัดร้างเป็นวัดที่มีพระภิกษุจำพรรษา การจัดให้เช่าที่ดินวัดร้างเพื่อใช้ในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และการอนุรักษ์วัดร้างที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ทั้งนี้ หากมีการบูรณะวัดร้างได้จะยกสถานะเป็นวัดมีพระสงฆ์ต่อไป
ด้าน ดร.ประภัสสร์ ชูวิเชียร อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร แสดงความเห็นถึงอุปสรรคประการหนึ่งของการบูรณะวัดร้างในประเทศไทยความว่า เนื่องจากการขยายเขตเมือง การสร้างถนน หรือมีการปลูกสร้างคอนโดมิเนียมเข้ามาในสถานที่ของวัดเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้โบราณสถานที่มีอยู่เดิมในวัดร้างถูกทำลายไปเรื่อยๆ
ขณะที่ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่วัดก็ถูกเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะวัดร้างที่เคยตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ เมื่อโบราณสถานสูญหายก็ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้อีก ทำได้เพียงสร้างสำนักให้คนในชุมชนเห็นในคุณค่าและความสำคัญของสถานที่วัด เมื่อคนในชุมชนรู้สึกเช่นนี้ คงจะไม่ปล่อยให้สิ่งก่อสร้างหรือโบราณสถานที่เหลืออยู่ได้สูญหายไปง่ายๆ และโจทย์ข้อใหญ่จะทำอย่างไรไม่ให้การทิ้งร้างวัดเพิ่มมากกว่านี้
ต้องยอมรับว่า วิถีชีวิตของคนไทยจะผูกพันกับวัดมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่คนรุ่นใหม่กลับไม่สนใจในเรื่องของศาสนามากนัก เนื่องจากประสบการณ์ที่คนรุ่นใหม่ได้เห็นการใช้ศาสนาเป็นสัญลักษณ์ในเชิงอำนาจ และพฤติกรรมที่น่าผิดหวังของพระสงฆ์บางกลุ่ม อีกทั้ง ยังมีประเด็นพุทธพาณิชย์โดยเฉพาะบางวัดเน้นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพุทธพาณิชย์ เช่น การจัดพิธีกรรมที่มีค่าใช้จ่ายสูง การจำหน่ายวัตถุมงคล และการให้บริการทางจิตวิญญาณในรูปแบบต่างๆ นอกจากนี้ ปัญหาด้านการบริหารจัดการและความโปร่งใสภายในวัดบางแห่งยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ความศรัทธาลดลง
ทั้งหมดส่งผลต่อความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อาจมองว่าวัดไม่ตอบสนองต่อความต้องการทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริง ทำให้สถานการณ์วัดในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งจำนวนวัดร้างที่เพิ่มขึ้น บทบาทของวัดที่เปลี่ยนแปลง และความศรัทธาของประชาชนที่ลดลง การจัดการและฟื้นฟูวัดร้าง รวมถึงการปรับบทบาทของวัดให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อรักษาคุณค่าทางศาสนาและวัฒนธรรมของวัดในประเทศไทย
ที่น่าสนใจคือ ขณะที่จำนวนวัดร้างเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การขออนุญาติจัดตั้งวัดใหม่ก็ดำเนินควบคู่กันไปโดยมีปัจจัยมาจากความต้องการของชุมชนในพื้นที่ใหม่ ตลอดจนการสนับสนุนจากผู้มีจิตศรัทธา การเพิ่มขึ้นของวันใหม่ฉลี่ยหลักร้อยแห่งต่อปี
ล่าสุด ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 6/2568 มีคำขออนุญาตตั้งวัด 130 ราย แบ่งเป็น วัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย รวม 76 วัด และวัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต รวม 54 วัด
กล่าวสำหรับภูมิทัศน์ใหม่ของวัดใหม่ในศตวรรษที่ 21 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการตั้งวัดใหม่จำนวนไม่น้อยในหลายจังหวัดของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ชุมชนขยายตัว หรือพื้นที่เศรษฐกิจเติบโต สิ่งเกิดขึ้นไม่พ้นเรื่องพุทธพาณิชย์ โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการหารายได้ ตอบโจทย์ตลาดแห่งศรัทธามากกว่าการพัฒนาศาสนาในเชิงปัญญา
ว่ากันว่าบทบาทของวัดเปลี่ยนจากสถานที่ศึกษาธรรมเป็นศูนย์กลางพิธีกรรมแบบแฟรนไชส์ พุทธสถานในยุคพุทธพาณิชย์เป็นภาพสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในยุคบริโภคนิยม บางแห่งอาจสามารถปรับตัวเป็นพื้นที่ทางจิตวิญญาณที่ร่วมสมัย ขณะที่บางแห่งอาจกลายเป็นเพียงธุรกิจบริการศรัทธาความเชื่อ.