“จะเป็นปากเป็นเสียงให้คนที่ถูกรังแก” เปิดใจ “พระมหาไพรวัลย์” ลงพื้นที่กับหมอปลาช่วยชาวบ้าน หลังลัทธิ-ความเชื่อประหลาดผุดขึ้นไม่หยุด พร้อมใช้โซเชียลฯ ทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูป คลับเฮาส์ เป็นช่องทางขับเคลื่อนสังคม “ถ้าไม่อยากให้ศาสนาเอาต์ เราต้องตามให้ทัน”
ลงพื้นที่ พิสูจน์ลัทธิลวงโลก!
“อาตมามองว่าทุกคนคิดไม่เหมือนกัน แล้วคนที่พร้อมจะเชื่อเรื่องพวกนี้มันมีอยู่ คนที่ชอบเรื่องอะไรที่มันพิลึกพิลั่น รู้สึกว่าชีวิตมันไม่มีอะไร แต่พอเข้าไปปฏิบัติธรรมที่สำนักเหล่านี้ ได้รับการพยากรณ์ ได้รับการยกย่องเป็นพระอริยะแล้ว บรรลุธรรมเป็นแม่นางนั่นแม่นางนี่ ก็รู้สึกว่าชีวิตมันวิเศษขึ้น ลูกศิษย์ที่เข้ามาที่หลังก็จะกราบไหว้คุณ เคารพคุณเป็นรุ่นพี่ หรือเป็นผู้บรรลุธรรมก่อน อยู่บ้านไม่มีคนศรัทธา แต่พอไปอยู่ในนั้นก็กลายเป็นผู้วิเศษ คนก็พร้อมจะเชื่อ”
“พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ” พระนักคิดนักเขียนชื่อดัง แห่งวัดสร้อยทอง กรุงเทพมหานคร กล่าวกับทีมข่าว MGR Live ถึงประเด็นที่กำลังร้อนระอุในแวดวงศาสนา ไม่ว่าจะเป็นกรณีบุคคลตั้งตนเป็นเจ้าสำนักสงฆ์ที่ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดอยู่ขณะนี้
ทั้ง “หลวงปู่พุทธเทพสุริยะจักรวาล” หรือ “หลวงปู่องค์ดำ” แห่งสำนักปฏิบัติธรรมหินเพิง จ.บุรีรัมย์ ที่ถูกลูกสาวของครูคนหนึ่งร้องเรียนต่อสื่อว่า หลวงปู่ทำให้แม่ของตนหลงงมงาย จนหนีมาอยู่สำนักแห่งนี้ อีกทั้งเสียเงินจำนวนมาก จนนำไปสู่การตรวจสอบว่าบุคคลผู้นี้มีพฤติกรรมตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่
หรือจะเป็น “พระกรันยา” แห่งสำนักสงฆ์วัดป่าเนื้อนาบุญ ที่สอนการปฏิบัติด้วยวิธี ทั้งการให้ลูกศิษย์ใส่ชุดสีรุ้ง ดำน้ำฝึกจิตในถัง สอนให้ลูกศิษย์เสพเมถุน ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการตรวจสอบ และพระกรันยาถูกสึกเป็นที่เรียบร้อย
ตลอดจนกรณีของ “อดีตพระธรรมกร” พระผู้จบชีวิตด้วยการใช้เครื่องกิโยตินบั่นศีรษะตนเอง โดยอ้างว่า ถวายเป็นพุทธบูชา เหตุการณ์นี้สร้างสะเทือนขวัญแก่ผู้ที่ได้รับรู้ข่าวเป็นอย่างมาก
หลายกรณีที่เกิดขึ้นนี้ พระมหาไพรวัลย์ ได้มีการแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว และมีการลงพื้นที่เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ชาวบ้าน ก็ไม่วายถูกตั้งคำถามตามมาว่า “ใช่กิจของสงฆ์หรือไม่?” บทสัมภาษณ์นี้จะพาไปสะท้อนมุมมองทางพระพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นในสังคม ผ่านทัศนคติของภิกษุหนุ่มรูปนี้อย่างหมดเปลือก!
“อาตมามองว่ามันเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง คนพวกนี้เห็นประโยชน์จากคนที่ต้องการที่พึ่ง และรู้ว่าจะหากินกับชาวบ้านยังไง เช่น รู้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่จะชอบเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ คนพวกนี้จะอาศัยช่องโหว่ทางความเชื่อ ตั้งตัวเองเป็นผู้วิเศษ กลายเป็นพระอริยะ มีเหงื่อเป็นพระธาตุ เลือดเป็นพระธาตุ ให้ชาวบ้านกินน้ำล้างเท้าตัวเอง จะสามารถรักษาโรคได้ ให้มาปฏิบัติธรรม จะสามารถรู้เลขรู้หวยได้ เอาเรื่องเหล่านี้มาหลอก เพราะเขาไม่ได้มีความบริสุทธิ์ใจ
ชาวบ้านเองเขาไม่มีเวลามาศึกษาคำสอนหรอก หาเช้ากินค่ำก็ลำบากแล้ว ฉะนั้น อะไรก็ตามที่พูดกันหนาหู ปากต่อปาก โดยเฉพาะคนชนบท ถ้าอันไหนที่เขาลือกันว่าดี ลือว่าศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนจะไปหา ทุกคนอยากจะไปพิสูจน์โดยที่ไม่ได้ตั้งคำถาม ข้อหนึ่งเขาเรียกว่า “มงคลตื่นข่าว” ได้ยินข่าวที่ไหนก็ไป แล้วสุดท้ายก็โดนหลอก เรื่องนี้น่าเป็นห่วงมาก”
ในการลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ชาวบ้าน ส่วนใหญ่จะได้รับผลตอบรับที่ดีกลับมา แต่สำหรับกรณีของ “อดีตพระธรรมกร” ยังมีชาวบ้านบางส่วนที่ยังยึดติดกับคำสอนของพระผู้สิ้นชื่อไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก
“กรณี พระธรรมกร อาตมาได้ลงพื้นที่ ก้าวแรกที่ไปก็เอะใจแล้ว เพราะว่าสำนักนั้นแทนที่จะมีรูปเคารพที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา แต่มีรูปปั้นที่ตอนนี้โดนทุบไปแล้ว เป็นรูปปั้นของเทวดาตัดศีรษะตัวเอง แล้วก็ยื่นพานถือศีรษะบูชา มีการบูชาศิวลึงค์กัน มีเทวรูปที่เป็นของฮินดู และมีทัศนะเรื่องการบูชายัญ
หลังเกิดเหตุนักข่าวก็ไปดูที่ห้องของอดีตพระธรรมกร ก็ไปเจอคัมภีร์เล่มหนึ่งที่พูดเรื่องพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะมาตรัสรู้หลังจากพระสิทธัตถะ หนังสือเล่มนี้ได้แนวคิดมาจาก คัมภีร์อนาคตวงศ์ เป็นคัมภีร์ที่ถูกแต่งขึ้นหลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไป 1,700 กว่าปี ในคัมภีร์จะพรรณนาเรื่องพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี เพื่อจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จะมีอันหนึ่งที่ถือว่าเป็นบารมีใหญ่สูงสุดคือถวายชีวิต เชื่อว่า อดีตพระธรรมกรเขาอ่าน ก็เลยเกิดความศรัทธาแรงกล้า
ความเชื่อเหล่านี้มันไม่ได้บ่มเพาะแค่เดือนสองเดือน มันสะสมมาหลายสิบปี ข้อที่มันน่าเป็นห่วง คือ แกไม่ได้เชื่อคนเดียว แกยังสั่งสอนไปยังลูกศิษย์ด้วย แม้อาตมาจะเข้าไปพูดคุยให้เขาเข้าใจว่า มันเป็นนิทานปรัมปรานะ ปรากฏว่า ลูกศิษย์วัดธรรมกรไม่ได้มีท่าทีรับฟังที่อาตมาภาพพูด เขาก็ไม่เชื่อ เขาคิดว่าสิ่งที่อาจารย์เขาทำเป็นบารมี
ชาวบ้านที่เขาอยู่รอบนอกส่วนใหญ่เขาไม่เชื่อ เขาไม่ได้มาปฏิบัติธรรมที่นี่ ความเชื่อนี้ยังมีอยู่และเป็นปัญหามาก เพราะว่าในอดีตมันไม่มีใครที่ออกมาพูดอย่างชัดเจนว่าไม่ควรยึดถือหรือเชื่อถือคัมภีร์นั้น อย่างรูปปั้นตัดหัวมันก็เคยมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดวัดหนึ่งเหมือนกัน แต่หลังจากที่เกิดเคสพระธรรมกร อาตมาเห็นปัญญาชนชาวพุทธหรือสำนักสงฆ์ที่เป็นปัญญาชนร่วมกันพูดเรื่องนี้ มันก็จะทำให้คนพุทธได้เข้าใจว่าลัทธิความเชื่อนี้ไม่ควรไปยึดถือ”
เมื่อถามต่อว่า อะไรที่สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านยังให้ความนับถือต่อสำนักสงฆ์ต่างๆ ทั้งที่มีการเตือนเรื่องนี้เป็นระยะผ่านสื่อต่างๆ พระชื่อดังแห่งวัดสร้อยทองก็กล่าวว่า เป็นเรื่องของระบบการศึกษา
“หลักๆ ที่อาตมาเห็นเป็นปัญหามากสุดคือเรื่องการศึกษา อย่างเคสหนึ่ง ชาวบ้านยังไม่เข้าใจว่า ที่ไปปฏิบัติธรรมแล้วผมม้วนคือบรรลุธรรมแล้ว ถ้าคนมีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ ก็จะบอกว่าผมมันมีประจุไฟฟ้า ถ้าตัดแล้วเอาผมมากองรวมกันเดี๋ยวมันก็จับกันเป็นก้อน หรือเจอดินลาวาผุดขึ้นมา ถ้ามีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ นี่มันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไม่ได้มาจากพญานาค แต่คนก็จะไม่เชื่อเพราะเข้าไม่ถึงระบบการศึกษา เข้าไม่ถึงระบบสาธารณสุขด้วย
และอย่าคิดว่าเทคโนโลยีมันช่วยอะไรได้นะ ไม่งั้นคนจะแชร์ข่าวกินขิงรักษาโควิดได้ กินโซดามะนาวรักษามะเร็ง ปลิวว่อนเต็มไปหมด ยังเห็นเฟกนิวส์ในโลกออนไลน์ ถ้าคนศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ จะแยกแยะศาสนากับลัทธิได้ไม่ยาก เพราะว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยเนื้อหาสาระแล้ว เน้นการปฏิบัติเพื่อการกำจัดความทุกข์ในปัจจุบัน ไม่ได้สอนให้เราไปเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ เรื่องเหาะเหินเดินอากาศ ถ้าเราจับจุดตรงนี้ได้ ก็จะไม่โดนหลอกเลย
ทำไมถึงมีลัทธิแปลกๆ มากมาย เพราะแม้แต่พระเอง วัดเองก็ดี ก็เป็นสถานที่ที่ส่งเสริมเรื่องเหล่านี้ด้วย คนจึงรู้สึกว่าไม่แปลกที่เข้าวัด หรือเข้าสำนักพวกนี้มันก็เหมือนกัน ลองดูสิวัดเดี๋ยวนี้ที่มีคนเข้าเยอะ เข้าไปไม่ได้อยากไหว้พระ แต่คนเข้าไปอยากจะไปจุดประทัด อยากจะไปซื้อชุดที่เขาเตรียมไว้สำหรับแก้บน มีพวงมาลัย มีไข่ต้ม อย่างเดียวกันเลย การเข้าสำนักพวกนั้นกับการเข้าวัดก็ไม่ต่างกันเลย เพราะวัดเอง พระเองก็ทำอย่างเดียวกัน”
นับถือ “หมอปลา” ผู้มาดับทุกข์ชาวบ้าน
สำหรับการลงพื้นที่ในแต่ละครั้งของพระมหาไพรวัลย์นั้น มักจะปรากฏภาพคู่กับ “หมอปลา-จีระพันธ์ เพชรขาว” เจ้าของฉายามือปราบสัมภเวสี อยู่บ่อยครั้ง จนขึ้นขั้นมีแฟนเพจรายหนึ่งส่งข้อความเตือนภิกษุหนุ่ม ว่า “อย่าไปสนิทสนมกับหมอปลาให้มากจะดีกว่า” เพราะหลายคนมองว่า หมอปลามีพฤติกรรมข้องเกี่ยวกับภูตผีหรือสิ่งที่มองไม่เห็น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พระมหาไพรวัลย์ ได้ให้คำตอบอย่างชัดเจนว่า ตนไม่ได้เห็นด้วยกับหมอปลาในทุกเรื่อง แต่หากเป็นเรื่องการช่วยเหลือคน หมอปลาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าช่วยเหลือจริง และไม่เก็บเงินชาวบ้านแม้แต่บาทเดียว
“เอาจริงๆ บางอย่างที่เขาทำไม่ใช่ว่าถูกต้องทั้งหมด สมัยก่อนหมอปลาที่เอารูปตัวเองไปให้แปะรักษาโรค อาตมาก็ไม่ได้เห็นด้วย แต่ว่าตอนหลังที่ไป แกไม่ได้มีเรื่องพวกนี้แล้ว แกไปช่วยเหลือชาวบ้าน ถามว่า หลังๆ อาตมาไปเดินตามพี่หมอปลาทำไม ไปเพราะว่ามีคนเดือดร้อนติดต่อขอความช่วยเหลือ มีคนขอร้องให้ลงไป ไม่ใช่อยู่ดีๆ ลงไปเอง ไปแล้วไปทำในสิ่งที่ควรทำ ไปพูด ไปบอกในสิ่งที่เป็นความถูกต้อง
และที่สำคัญที่สุด ไม่ได้มีผลประโยชน์ อาตมาไม่ได้ปัจจัย ไม่เคยว่าลงไปเคสนี้ไปแล้วมีคนถวายเงินให้ ไปฟรีหมด แม้แต่ตัวหมอปลาเองก็ไม่เคยได้ตังค์เลยแม้แต่บาทเดียว ชาวบ้านเวลาเขาไปหาคนอื่นที่ไม่ใช่หมอปลา ร่างทรงก็ดี พระก็ดี หมอธรรมก็ดี เวลาทำพิธีกรรมกับคนเหล่านั้นเสียเงินหมด ยิ่งกรณีถูกหาว่าเป็นปอบ เขาเก็บคุณครั้งละหมื่นนะ แต่หมอปลาไม่เก็บซักบาท เราเห็นแล้วเรานับถือแกว่าแกไม่เก็บเงินจริงๆ
อาตมาเคยลงพื้นที่ทำคอนเทนต์รายการยูทูปที่บ้านแกมาแล้ว แกสร้างเรือนนอน 2 ชั้น มีโรงครัว เอาคนจิตเวชที่หมอไม่เอา ไปอยู่บ้าน คนป่วยส่วนใหญ่ที่อ้างว่าถูกผีเข้า ไม่ต่ำกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นพวกจิตเวช หลอนยา ไม่มีคนช่วยเหลือคนพวกนี้ อย่าว่าแต่ช่วยเหลือ รับฟังก็ไม่มี แต่หมอปลารับคนพวกนี้ไปอยู่บ้าน เลี้ยงข้าวอีก แล้วแกไม่เปิดรับบริจาค ที่เราเห็นนะ ถ้าวันหนึ่งแกไม่ช่วยจริงๆ อาตมาก็อาจจะไม่คบแกก็ได้ แต่ตอนนี้เห็นว่าแกช่วยคนจริงๆ”
นอกจากนี้ ทีมข่าวได้ขอให้พระมหาไพรวัลย์ ย้อนเล่าประสบการณ์ในการลงพื้นที่ที่จำขึ้นใจให้ฟังอีกด้วย
“เราเห็นบางเคสคนที่เขาเดือดร้อน เขาน้ำตาไหล เพราะว่าก่อนที่เราจะเข้าไป ไม่มีใครฟังเสียงเขาเลย อย่างกรณียายจำนง ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปอบ ชาวบ้านประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ปักใจเชื่อหมดว่ายายจำนงเป็นปอบ ยายถูกรังเกียจจากคนในหมู่บ้าน ไม่มีใครช่วยเหลือเลย แม้แต่นายก อบต.ก็ยังเข้าข้างชาวบ้าน ตอนไปหา เขาเล่าให้เราฟังทั้งน้ำตาว่า อัดอั้นตันใจ เราเห็นแบบนี้มันยิ่งตอกย้ำว่า นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องมาช่วย เรามาเป็นปากเป็นเสียงให้คนเหล่านี้
หลายเคสที่อาตมาไป ครอบครัวแตกแยกกัน สามีภรรยาผิดใจกัน เพราะไปปฏิบัติธรรมในสำนักแล้วเริ่มไม่เห็นตัวเองเป็นภรรยาของสามี แต่เห็นตัวเองเป็นแม่นางนู่นแม่นางนี่ เคยทำมาค้าขายมีรายได้ แต่พอเข้าไปที่นั่น เอาเงินจากที่เคยสร้างเนื้อสร้างตัวมาไปถวายให้กับเจ้าลัทธิ หลายเคสเป็นเหมือนกันหมด
อาตมามีคติอยู่อย่างนึงว่า “เราจะเป็นปากเป็นเสียงให้คนที่เขาเดือดร้อน ที่เขาถูกรังแก” คนมันไม่อยากยุ่งเรื่องของใครก็ปล่อยให้เรื่องเหล่านี้มันมีอยู่ในสังคม หลอกลวงต้มตุ๋นคน แต่พอเราจะเข้าไปช่วยเหลือ ก็บอกว่าเป็นพระไปยุ่งกับเขาทำไม เป็นความศรัทธาของชาวบ้าน ที่อ้างว่าเป็นความเชื่อความศรัทธาใคร อย่าไปยุ่ง อาตมาว่าเห็นแก่ตัว”
ส่วนกระแสที่ถูกมองว่า การลงพื้นที่ในแต่ละครั้งนั้น เป็นกิจของสงฆ์หรือไม่ ท่านก็ให้ความเป็นถึงประเด็นนี้ว่า ไม่มีกฎที่ห้ามพระออกนอกวัด และการไปในแต่ละครั้งก็เป็นการไปช่วยเหลือ ไปทำความเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้องให้ชาวบ้านทั้งสิ้น
“อาตมามองว่า การทำหน้าที่ของพระ คือ การให้ปัญญากับคนนะ มายาคติอย่างหนึ่งคือพระบวชแล้วต้องอยู่ที่วัด อาตมาโดนคอมเมนต์บ่อยมากว่าเป็นพระทำไมไม่จำวัด มันไม่มีกฎอันไหนเลยที่ห้ามพระ บวชแล้วห้ามออกนอกวัด พระมาบวชไม่ได้มาติดคุกถึงจะออกนอกวัดไม่ได้ ถ้าช่วงเข้าพรรษาก่อน ห้ามไปค้างแรมที่อื่น เราก็เคารพกฎ เคารพบัญญัติ
แล้วหน้าที่ที่แท้จริงตามหลักของพุทธศาสนา สมัยพุทธกาล เวลาพระเข้ามาบวชแล้ว ปฏิบัติธรรมแล้ว บรรลุธรรมแล้ว พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่า เธอจงอยู่วัด พระพุทธเจ้าใช้คำว่า เธอจงเที่ยวไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนหมู่มาก อาตมาก็ถือพุทธพจน์อันนี้เป็นสำคัญว่า ที่เราไป เราไปเกื้อกูลเขา
ประเด็นที่สำคัญ ทำไมอาตมาต้องลงไป ที่ต้องลงไปเพราะเบื้องหลังสำนักเหล่านี้ มีคนที่มีอิทธิพลในพื้นที่ให้การสนับสนุน เป็นผู้นำชุมชน เป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นนายก อบต. แล้วถ้าเราไม่ลงไป สื่อไม่เข้าไป ชาวบ้านจะไม่กล้าร้องเรียน เพราะกลัวอิทธิพล ผู้นำชุมชนยังศรัทธา เสียงไม่ดังแล้วก็ไม่กล้าด้วย กลัวว่าไปมีปัญหากับสำนักนั้นแล้วจะถูกกลั่นแกล้ง”
อีกทั้งท่านยังช่วยสะท้อนอีกว่า หนึ่งเหตุผลที่ตนต้องลุยเอง เป็นเพราะองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องเหล่านี้โดยตรงทำงานล่าช้า เป็นช่องโหว่ที่ทำให้ให้การช่วยเหลือชาวบ้านไปถึงอย่างไม่ทันท่วงที
“บางคนบอกทำไมไม่ให้เจ้าหน้าที่จัดการ กว่าเจ้าหน้าที่จะลงไป ถ้าสื่อไม่เอามาทำข่าว ไม่มีใครกล้าลงไปจัดการเลย สำนักงานพุทธเข้าไป ต้องให้สื่อรายงานก่อน พอสื่อทำข่าวแล้วหน่วยงานเหล่านี้ถึงลงไป ทำงานล่าช้ามาก แล้วถ้าไปเจออันไหนที่เป็นสำนักใหญ่ๆ หน่อย หรือมีผู้มีอิทธิพลให้การสนับสนุน องค์กรของรัฐก็จะไม่กล้าเข้าไปจัดการ กรณีที่เขาไม่ใช่พระ ไม่ใช่นักบวช แต่ตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิ ก็มีช่องโหว่ที่องค์กรทางศาสนาทำอะไรไม่ได้เลย
แต่อาตมาไม่กลัวนะ เราไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ และทุกที่ที่ไปก็เขาเองที่อนุญาตให้เราไปสนทนาธรรมด้วย ไม่ว่าพระดำน้ำหรือพุทธะสุริยะจักรวาล เขาก็รอที่จะพบอาตมาอยู่แล้ว
ฉะนั้น ก็ต้องอาศัยสื่อเป็นกระบอกเสียง ที่อาตมาเข้าไปเพราะอยากให้เรื่องนี้มันถูกนำเสนอในสื่อสาธารณะอย่างกว้างขวาง และทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ คนจะได้เห็นและจะได้เอาอันนี้ไปเป็นข้อมูลสำคัญในการหยั่งใจว่า สำนักแปลกๆ เหล่านี้เกิดขึ้นมา ควรจะเชื่อถือดี หรือไม่ควรเชื่อถือดี หรืออย่างน้อยก็ให้ระมัดระวังตัวว่า ถ้ามีเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องชวนให้ไปเข้ารีต ให้ไปนับถือพวกที่อ้างตัวว่าเป็นผู้วิเศษเหล่านี้ ก็จะได้ไม่ไป”
ว่าด้วยเรื่อง “คนไม่นับถือศาสนา” “อาตมาว่าคนทุกคนมีวิธีคิด หรือมีหลักในการดำเนินชีวิตที่ต่างกัน แล้วคนที่จะดำเนินชีวิต เพื่อที่จะทำให้ชีวิตของตัวเองพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องมีศาสนาก็ได้ ศาสนาที่มันสอนเรื่องปัจจุบัน ที่มันให้ตรรกะว่าเราจะดำเนินชีวิตยังไงให้มันดี ในทางกลับกัน ถ้าคุณนับถือศาสนา แล้วนับถือในทางที่ไม่ถูกต้อง ในลักษณะความงมงาย ในลักษณะที่ทำให้คุณหมดเนื้อหมดตัว ทำให้ครอบครัวคุณแตกแยก ทำให้ชีวิตคุณมันดิ่งลง คิดว่าทำบุญจะได้ไปเกิดเป็นเทวดา อยู่บนสวรรค์ ทำบุญเยอะๆ หมดเงินหมดทอง เพราะหวังว่าตายไปจะได้ไปอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า พักไว้ก่อนเรื่องโลกหลังความตาย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ถ้าโลกปัจจุบันมันดี ไม่ต้องไปห่วงโลกหลังความตาย คนที่บันเทิงพร้อมในโลกนี้ ละโลกนี้ไปแล้วก็จะไปบันเทิงพร้อมในโลกหน้าด้วย แต่ถ้าโลกนี้คุณมีความทุกข์ นับถือศาสนาแล้วคุณมีความทุกข์มากขึ้น มันไม่ได้ช่วยให้คุณหลุดพ้น ไม่ได้ช่วยให้คุณรู้สึกสงบเย็นและเป็นประโยชน์ คุณไม่ต้องไปนึกถึงโลกหน้าเลย” |
ชาวเน็ตกดไลก์ สงฆ์ยุคใหม่ทันทุกกระแส
ผ่านเรื่องหนักๆ ไปแล้ว ก็มาถึงประเด็นผ่อนคลายกันบ้าง โดยการให้ท่านช่วยเล่าย้อนเรื่องราวชีวิต ที่ตัดสินใจบวชเรียนเรื่อยมาหลังจบการศึกษาชั้นประถม 6 ด้วยความที่เป็นพระใฝ่รู้ใฝ่เรียน และกล้าตั้งคำถามทุกประเด็น ถึงทำให้ชื่อเสียงของพระมหาไพรวัลย์ กลายรู้จักอย่างกว้างขวางบนโลกออนไลน์ในขณะนี้
“อาตมาบวชตั้งแต่อายุ 12 ปี ที่บวชเพราะว่าเราเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน อย่างที่อาตมาพูด ปัญหาการศึกษา คุณจะเข้ามัธยม เข้ามหาลัย มันต้องใช้เงินทั้งนั้นเลย บวชแล้วได้โอกาสจากพระพุทธศาสนาให้เล่าเรียนคำสอน อาศัยว่าเราเป็นเณรหัวไว ก็เรียนมาเรื่อยๆ ในแต่ละวันทำกิจของสงฆ์ปกติ แต่หน้าที่หลักคือสอนหนังสือที่วัดสร้อยทอง แล้วก็มีกิจของตัวเองคือศึกษาต่อ ตอนนี้เรียน ป.เอกของมหาจุฬาลงกรณ์อยู่
อาตมาเป็นคนแบบ… คนโบราณจะเรียกว่าแก่แดด ไม่สนใจอย่างที่เด็กในวัยเดียวกันสนใจ เช่น ถ้าเด็กที่อายุ 13-14 ทำอะไร เล่นเกม ฟังเพลง เริ่มจะแก่นๆ หน่อย แต่เราเป็นเด็กชอบถาม ขี้สงสัย ทำไมต้องเป็นอย่างนี้อย่างนั้น สมัยที่เริ่มมีเฟซบุ๊กใหม่ๆ เวลาเราสงสัยอะไรเราก็จะถามหรือเห็นอะไรที่มันไม่ถูกเราก็ชอบแย้ง ก็จะโพสต์ลงเฟซบุ๊ก
แต่สเตตัสแรกๆ มันเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองด้วยซ้ำนะ ซักปี 57 มีการรัฐประหาร ก็มีคนออกมาต่อต้าน มาชู 3 นิ้วแล้วตอนนั้นเป็นพระหนุ่มมันก็เฟี้ยวหน่อย เราก็อยากจะขำๆ 3 นิ้ว คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราก็ชู 3 นิ้วลงไปโพสต์ ปรากฏว่า คนแชร์เป็นพันเลย คอมเมนต์รัวๆ ไอ้เราก็ตื่นเช้ามาทำไมเฟซบุ๊กมันเด้งขนาดนี้ ก็มีคนเข้ามาด่าใหญ่เลย พอมีคนมาด่า อีกฝั่งนึงที่อาจจะเห็นด้วยกับเราก็เข้ามาปกป้อง
หลังๆ พอเริ่มมีคนรู้จัก มีคนฟอลโลว์ เวลาเราโพสต์บทความอะไร สื่อก็ทำงานง่ายมาก ก็เอาที่เราโพสต์ไปออกเป็นข่าว หลังถ้ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับศาสนา สื่อก็ชอบมาถาม แล้วอาตมาเป็นคนที่ถ้ามาถามก็ตอบทุกเรื่อง ไม่กลัวว่าทัวร์จะลงไม่ลง ถ้าถามเรื่องไหนอาตมาก็ตอบ”
แน่นอนว่า เมื่อภิกษุรูปนี้เริ่มมีชื่อเสียงเป็นวงกว้าง ก็ย่อมมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับบางประเด็นที่พระมหาไพรวัลย์นำเสนอ ถึงขั้นที่มีบางคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำหยาบคาย ซึ่งท่านกล่าวว่าด่าตนเองได้ แต่หากหยาบคายแบบไร้เหตุผลก็ต้องจัดการ
“คอนเมนต์หยาบคายมันมีอยู่แล้ว อาตมาว่าโดนด่าบ้างก็ดี ถ้าไม่โดนด่าก็จะคิดว่าตัวเองแตะต้องไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนอยู่ในโลกธรรม มีนินทา มีสรรเสริญ มีคนชอบต้องมีคนเกลียด ถ้าคุณคิดว่าด่าคุณไม่ได้เลย แสดงว่าคุณติดใจอะไรบางอย่าง ทำไมฉันดีหมด ด่าไม่ได้ นินทาก็ไม่ได้ ฉะนั้น ใครอยากด่าก็ด่าไป อาตมาไม่ได้มีปัญหา แต่ถ้าใครมาหยาบคายแบบไม่มีเหตุผลก็บล็อกอย่างเดียว
อาตมาถูกเตือนบ่อย ไม่ว่าเราจะพูดเรื่องสังคม การเมือง ยังไงก็ถูกเตือนอยู่แล้ว แต่อาตมาถือคติว่า สิ่งที่เราพูดมันเป็นข้อเท็จจริงรึเปล่า สิ่งที่เราพูดมันเป็นเรื่องมุสามั้ย ให้ร้ายมั้ย และที่สำคัญที่สุด ปกป้องสิทธิของคนเล็กคนน้อย หลายเรื่องที่อาตมาพูดอยู่ข้างคนเล็กคนน้อย ที่เขาถูกรังแกเบียดเบียน จะโดยอำนาจรัฐหรือใครก็ตาม เพราะรัฐมีอำนาจเต็มที่ที่จะจัดการใครก็ได้ แม้แต่คนเห็นต่าง
แต่อาตมาจะอยู่ข้างคนที่ถูกอำนาจรังแก ไม่ว่าจะเป็นอำนาจรัฐ อำนาจเจ้าลัทธิ อำนาจของผู้นำชุมชนหรืออะไรก็ตามแต่ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเราก็มีฐานของคนที่ติดตามเราจำนวนหนึ่ง ก็ใช้ให้มันเป็นประโยชน์ ไม่ใช่รู้ว่ามีปัญหาก็อยู่ข้างคนที่มีอำนาจอย่างเดียว”
และสำหรับการเล่นโซเชียลฯ ของพระสงฆ์ ก็ถูกตั้งคำถามจากสังคมว่า เป็นการทำให้พระเกิดกิเลสหรือไม่ โดยทางพระมหาไพรวัลย์ กล่าวว่า อย่าว่าแต่โลกออนไลน์ อยู่ที่ไหนมันก็มีกิเลสได้ทั้งสิ้น
“อาตมาว่าเราจะปิดกั้นไม่ให้เห็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่ได้หรอก มันอยู่ที่ว่าคุณเห็นแล้วคุณทำยังไงกับมันมากกว่า คุณให้ความสนใจกับมันรึเปล่า กิเลสอยู่ที่ไหนมันก็มีกิเลส อย่าว่าแต่โลกออนไลน์เลย อยู่วัดอยู่วามันก็มีหมดที่จะได้เห็นอะไรที่ไม่ดีไม่งาม แต่ที่อาตมาใช้โซเชียลฯเพราะมันมีประโยชน์ ถ้าเราไม่ติดตามข่าวสารพวกนี้เราจะคุยกับคนยังไง เดี๋ยวนี้มันไปไกลถึงกับมี Clubhouse มีอะไรแล้ว เราก็สอนธรรมะใน Clubhouse ได้ คุยกับญาติโยมได้
เหมือนหลวงพ่อพยอม ก่อนนอนท่านอ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน เพื่อจะได้รู้ว่าท่านจะช่วยเหลือคนยังไงบ้าง ตอนนี้ชาวบ้านมีความทุกข์เรื่องอะไร อย่างช่วงที่โควิดระบาด หลวงพ่อพยอมท่านก็เปิดรับเอาคนตกงานไปทำงานกับท่าน ช่วยชีวิตคนได้ตั้งเยอะ
อาตมามองว่า ข้อเสียอย่างหนึ่งของพระคือ คำว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ต้องระวังคำนี้ให้ดี ในนัยยะหนึ่งของคำว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์มันสอนให้พระเห็นแก่ตัว เพราะเรื่องไหนก็เข้าไปยุ่งไม่ได้เลย ไม่ว่าคนจะทุกข์ร้อนยังไง คนถูกเอารัดเอาเปรียบยังไง สุดท้ายกลายเป็นว่าพระเป็นบุคคลที่เห็นแก่ตัวที่สุด เพราะไม่ต้องรับรู้อะไรเลย ช่วงโควิดก็ยังอยู่กินสบาย ในขณะที่ชาวบ้านอดอยากเดือดร้อน ทำงานไม่ได้ แต่พระอยู่วัดมีฉัน 2 เวลา อิ่มหนำสำราญ อาตมาว่าแบบนั้นก็ไม่ถูก”
นอกจากเฟซบุ๊กแล้ว พระมหาไพรวัลย์ ยังมีอีกช่องทางที่สามารถมาติดตามกันได้ คือทางยูทูปในชื่อช่อง “ธรรมไปเรื่อย” โดยมีคอนเทนท์ที่หลากหลาย ทั้งการพูดคุยกับนักวิชาการหลายๆ ท่าน มีการให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนประเด็นที่กำลังเป็นกระแสอยู่ และจะมีการสอดแทรกหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาเข้าไปด้วยในแบบฉบับที่ย่อยง่าย ขณะนี้เปิดช่องมาไม่ถึง 1 ปี แต่มีผู้ติดตามทะลุ 100,000 คนแล้ว
“อาตมารู้สึกว่าเราสนใจอะไรเราก็ลงอันนั้น ถ้าคนสนใจเราเดี๋ยวเขาก็เข้ามาฟังเอง อาตมาว่าคนทุกคนมีทางเลือก ถ้าสนใจพระรูปไหนก็ฟังพระรูปนั้น สนใจข่าวไหนก็ไปดูข่าวนั้น ก็เหมือนกัน เราเอาเป็นที่ตั้ง เราสนใจเรื่องพวกนี้ก่อน แล้วก็ไปเสาะหาคำตอบเรื่องเหล่านี้ พอได้คำตอบแล้วก็เอาคำตอบที่เราได้มาบอกคนอื่น มาแชร์ต่อไป
ถ้าพระเอาแต่ปฏิบัติธรรม อยู่ในวัด ไม่สนใจความทุกข์ร้อนของคน ศาสนาจะมีประโยชน์ได้ยังไง จะบำบัดทุกข์มันต้องเข้าถึงทุกข์ให้ได้ก่อน บำบัดทุกข์มันปลายเหตุ ทำยังไงให้พระส่วนใหญ่เข้าถึงทุกข์ของคนให้ได้ก่อน อาตมาว่าถ้าไม่อยากให้ศาสนาเอ้าท์ เราต้องตามให้ทัน ถ้าตามไม่ทันศาสนาก็ถูกทิ้ง อาตมาไม่อยากให้ศาสนาถูกทิ้ง
ถ้าบอกว่ามีแต่ผลดีก็พูดเข้าข้างตัวเอง ผลไม่ดีมันก็มีแน่นอน คนก็อาจจะไม่ชอบความเป็นเราก็ได้ ว่า เราไปยุ่งกับชาวบ้าน ไม่ทำกิจของสงฆ์ เป็นพระทำไมมาถือกล้องถืออะไร เพียงแต่เราคิดว่าการถือกล้องก็ดี การทำถ่ายอะไรก็ดี เราทำเพื่อเราจะมาบอกคน สอนคน ฉะนั้น จะถือกล้องบ้างก็ช่างมัน ถือกล้องดีกว่าถือลูกประคำนะบางทีถืออะไรที่จะไปหลอกลวงชาวบ้าน หลอกลวงคน ถืออย่างนั้นอย่าไปถือ”
คลายทุกข์ชาวบ้านผ่านโซเชียลฯ
“ที่มาร้องเรียนก็มีเยอะ ที่เดือดร้อนมาก็อย่างกรณีที่ลงพื้นที่ก็มีเหมือนกัน Inbox เกี่ยวกับเรื่องไม่ชอบมาพากล ก็ส่งข้อมูลมาให้เรา แล้วเราก็เอาข้อมูลไปเช็กว่าจริงแท้แค่ไหน และเราก็เอาข้อมูลนี้ไปตีแผ่ แต่เรื่องความทุกข์ส่วนบุคคลมีร้อยแปดพันเก้า ไม่หวาดไม่ไหว เรื่องบางเรื่องที่เขาไม่ควรสงสัย เขาก็สงสัย เช่น บวชพระแล้วญาติตายจะบวชเณรได้มั้ย เอาหิ้งพระไว้ทิศนี้ได้รึเปล่า ขับรถชนแมวตายแต่ไม่ได้เจตนา รู้สึกเสียใจมากควรต้องทำยังไง ตอบทุกวัน (หัวเราะ)”
สำหรับช่องทางหลักที่พระมหาไพรวัลย์อัปเดตอยู่เสมอ คือเพจเฟซบุ๊ก “พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ” ที่มีผู้ติดตามราว 168,000 คน เมื่อถามถึงการเข้ามาขอความช่วยเหลือจากญาติโยม ท่านก็กล่าวว่า มีคนส่งข้อความมามากมาย สารพัดเรื่อง มีหลายครั้งก็เป็นการช่วยคลายทุกข์ให้กับผู้ทางออกไม่ได้ ให้กลับมาเดินหน้าใหม่ได้อีกครั้ง
“ไม่ได้พูดว่าเราจะสามารถให้คำแนะนำกับเขาได้ดี แต่หลังจากนั้น ครอบครัวเขาดีขึ้น ก็คือเคสของโยมสามีภรรยา โยม 2 คนนี้มีเขามีลูกชายคนนึงอายุ 19 ปี เรียนมหาลัย อนาคตกำลังดี แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด อยู่ดีๆ ลูกไปออกกำลังกายแล้วหัวใจล้มเหลวตายฉับพลัน พอลูกชายตายได้ไม่นาน เมียก็ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม ต้องตัดมะเร็ง
[ ลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้านตามกรณีต่างๆ ]
หลังจากนั้น ครอบครัวก็แตกกระเซอะกระเซิง หมายถึงว่า เมียก็มีความทุกข์ ป่วยมะเร็งเต้านม ลูกก็เพิ่งเสีย ภาระก็ไปตกอยู่กับสามีต้องมาดูแล หลังๆ โยมผู้หญิงก็เริ่มงอแง เพราะตัวเองป่วยก็อยากให้สามีเอาใจ ก็เริ่มคุยกันไม่รู้เรื่อง ทะเลาะกันทุกวัน จากที่เมื่อก่อนเป็นคนใจเย็นมาก หาทางออกไม่ได้ก็เลยทักมาหาอาตมา
อาตมาก็เลยบอกโยมผู้ชายว่างั้นพาโยมผู้หญิงมาด้วย มาคุยกันที่นี่แหละ คุยไปร้องไห้ไป ก็พยายามบอกเขาว่า คุณเหลือกัน 2 คนแล้ว ถ้าคุณไม่ดูแลกันแล้วใครจะดูแล พยายามพูดให้โยมผู้ชายเข้าใจว่าทำไมโยมผู้หญิงถึงนิสัยเปลี่ยนไปเพราะป่วยด้วย ก็ต้องเข้าใจ
ฝ่ายโยมผู้ชายก็บอกโยมผู้หญิงว่า เขาตัวคนเดียวแล้วต้องทำงานด้วย ต้องเข้าใจเขา อย่าดื้อกับเขา ให้เห็นความปรารถนาดีของเขา อย่าเห็นว่า การบอกคือการจู้จี้ แต่ให้เห็นว่าที่เขาบอกเพราะอยากให้หาย ปรากฏว่า หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็นิมนต์อาตมาไปฉันเพลที่บ้านเขา เปลี่ยนไปคนละคนเลย โยมผู้หญิงหน้าตาสดใสขึ้น ใจเย็นขึ้น”
หรือจะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ ภิกษุหนุ่มรูปนี้ก็ช่วยมาแล้ว?!
“แบบที่แปลกๆ ก็มีนะ แนวไสยศาสตร์ โยมคนนึงเปิดร้านขายกาแฟ ตอนที่ทำร้านก็มีเพื่อนแนะนำว่าให้ไปเอากุมารทองมาเลี้ยง จะได้ดึงลูกค้า ก็เชื่อเพื่อนไปเช่ากุมารทองจากพระรูปหนึ่ง หรือจากใครจำไม่ได้ ปรากฏว่า พอเปิดร้านกาแฟไป ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด กุมารทองไม่ช่วย ก็เจ๊งจากการทำธุรกิจร้านกาแฟ ไม่ช่วยเสร็จก็เริ่มโทษกุมาร เราทำอะไรไม่ถูกรึเปล่า น้องถึงไม่พอใจ ทำให้ธุรกิจเราเจ๊ง
พอไปประสบอุบัติเหตุหน่อย ขับรถไปชนนู่นชนนี่ ก็ไม่มองว่าเป็นความประมาทของตนเอง ไปโทษกุมารทองอีกเหมือนกัน สงสัยน้องไม่พอใจเรา อยากจะเอาทิ้ง อยากจะกำจัด แต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวเรื่องไสยศาสตร์ ตอนเอามา เอามาบูชาอย่างดีขึ้นหิ้ง มีของเล่นให้ แต่ตอนไม่อยากได้แล้วไม่รู้จะทำยังไง ก็ Inbox มาหาอาตมา อยากให้อาตมาช่วย อาตมาก็ช่วยก็ช่วย อะไรที่มันเป็นปัญหา เอามา มาที่นี่ (หัวเราะ)
เขาก็เอาใส่กล่องมา มีกุมาร 2 องค์ มีของเล่น มีดดาบ หุ่นยนต์ ก็บอกเดี๋ยวอาตมาจัดการให้ เพื่อความสบายใจ ให้โยมถวายทานนะ เดี๋ยวอาตมากรวดน้ำให้พร โยมก็อุทิศให้กุมารทอง ส่วนของเอาไว้วัดเดี๋ยวจัดการให้ พอเขากลับไปปุ๊บ อาตมาก็ยกกล่องลงไปข้างล่าง ทิ้งถังขยะ จบ เขาไม่กล้าทิ้งเอง ถ้ากุมารทองมันดีจริงมันจะถูกเอาใส่กล่องมาถึงวัดได้ยังไง เพียงแต่ว่าคนพุทธส่วนใหญ่ยังเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่ ถ้ามันมีผลอะไรก็คงมีกับอาตมาแล้วเพราะอาตมาทิ้ง (หัวเราะ)”
โควิดทำเดือดร้อนทั้งพระทั้งโยม!
จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่วทุกหัวระแหง ไม่เว้นแม้แต่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเรื่องนี้ท่านก็ได้กล่าวถึงการก้าวฝ่าวิกฤตที่เกิดขึ้น และเป็นอีกทั้งที่โซเชียลมีเดียถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อลมหายใจของผู้คนที่เผชิญปัญหาดังกล่าว
“ผลกระทบที่วัดได้รับคือคนน้อยเท่านั้นเอง วัดก็ต้องมัธยัสถ์หน่อย ค่าน้ำค่าไฟก็ชำระเท่าเดิม วัดก็ต้องเอาปัจจัยในมูลนิธิมา แต่หลายวัดที่ไม่ได้รับผลกระทบ อาตมาชื่นชมที่ได้ช่วยเหลือคน อย่างการทำโครงการเปิดโรงทาน เลี้ยงอาหารทุกวัน หรือตอนนั้นมีตู้ปันสุข อาตมาก็ทำ รับบริจาคข้าวสารอาหารแห้งมา ใส่ที่ตู้ปันสุข ทำอยู่หลายเดือน
โซเชียลฯใช้ประโยชน์ได้เยอะ ปีที่แล้ว มีโยมทำบุญกับอาตมาช่วงโควิด อาตมาก็เอาปัจจัยนี้ไปทำโครงการ “โรงทานออนไลน์” ให้กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่เขาขายของไม่ได้มาฝากร้าน อาตมาก็อุดหนุนเขา เช่น ข้าวกล่อง 50 กล่อง 100 กล่อง มีข้อแม้ว่าคุณต้องทำจิตอาสา คือ เอาข้าวกล่องที่ทำไปแจกคนแล้วถ่ายรูปส่งมา ทำของปีที่แล้วได้ผลเยอะมาก
หรือแม้แต่รับบริจาคมาสก์ แอลกอฮอล์ คนส่งมาเยอะแยะ โยมไม่สะดวกเอาไปแจก ถ้าอย่างนั้นบริจาคเข้ามา อาตมาก็เอาไปแจกตามกลุ่มคนเสี่ยง เช่น วินมอเตอร์ไซค์ คนทำงานโรงงาน คนเก็บขยะ
อาตมาจะพูดเสมอว่า ถึงวัดได้รับผลกระทบ ก็ไม่เท่าชาวบ้านหรอก พระยังไงถือบาตรออกไปต้องมีคนใส่ข้าวให้กิน เพียงแต่ชาวบ้านที่เขาเปิดธุรกิจ เขาเจ๊งไปเลยที่ลงทุน เขาหนักกว่าเยอะ น่าเห็นใจ”
ประกอบกับสถานการณ์ของผู้ติดเชื้อในประเทศไทยตอนนี้ มีตัวเลขเพิ่มขึ้นถึงวันละ 2,000+ ติดต่อกันหลายวัน ท่านได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็นความประมาทจากคนใหญ่คนโต ที่นำความเดือดร้อนมาสู่ชาวบ้าน
“ตอนนั้นมีการเชิญชวนสวดมนต์ เอาเรื่องเหล่านี้มาช่วยทางใจได้ แต่อย่าคิดว่ามันจะช่วยให้เราไม่ติดโควิด ให้เรามีสติที่จะระมัดระวังมากขึ้น อย่าประมาท อาตมาดูข่าวแล้วน่ากลัวมาก ตอนแรกไม่กลัวนะเพราะคิดว่ายอดผู้เสียชีวิตยังไม่มี ติดเชื้อก็ไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้เราเห็นหลายๆ คน ดารา เซเลบอาการหนัก อย่างโยมค่อม มันทำให้เราตระหนักว่าเรื่องเหล่านี้ เราดูแคลนมันไม่ได้กับจำนวนผู้ติดเชื้อที่มันเยอะขึ้น มันใกล้ตัวมาก อาตมาไม่อยากให้ทุกคนประมาท
แล้วเรารู้สึกเหมือนว่าไม่ตระหนักเรื่องนี้ คิดว่าอยู่ไกลตัว ช่วงสงกรานต์เหมือนกัน เขาขอร้องแล้วอย่าเล่นน้ำ ก็ยังเล่นสาดน้ำกัน ไม่ให้รวมตัวกันเยอะ เป็นไง บางแสนเท่าไหร่ เราก็ไม่รู้ คนไทยถ้าไม่วิกฤตจริงๆ ไม่ค่อยตระหนัก
และที่สำคัญที่สุด หลายรอบที่ทำให้โรคระบาดเห็นผลชัดเจน มันไม่ได้มาจากชาวบ้านตาสีตาสา มันมาจากกลุ่มคนที่มีชื่อเสียง คุณอาศัยความมีอภิสิทธิ์แล้วคุณไปเข้าผับเข้าบาร์กัน คุณต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่านี้ อาตมาไม่ได้ตำหนิใคร แต่ผลจากการทำของคุณ ทำให้เกิดความเดือดร้อนทั่วประเทศ ทบทวนให้ดี”
เมื่อบทการสนทนาธรรมดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย พระนักคิดนักเขียนชื่อดัง ได้ย้ำถึงการระวังตัวเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของสำนักสงฆ์ลวงโลกที่เกิดขึ้นมากมาย เพราะคนเหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับมิจฉาชีพ
“เรื่องปรากฏการณ์ต่างๆ ที่มันเป็นเรื่องแปลก เรื่องพิลึกพิลั่น เจ้าลัทธิเยอะมากในยุคปัจจุบัน ยุคกึ่งพุทธกาล ศาสนามันเริ่มเสื่อมถอย และมีคนที่อ้างตัวเป็นผู้วิเศษเยอะ ให้ระวังให้ดี ธรรมะของพระพุทธเจ้าหรือศาสนาพุทธ ไม่ใช่ศาสนาที่ยกย่องผู้วิเศษ หรือไม่ได้สอนให้เราปฏิบัติหรือเชื่อ เพื่อที่จะได้เป็นผู้วิเศษ ฉะนั้น ใครที่อ้างอย่าไปเชื่อ
สื่อเอามานำเสนอแล้ว เอาบทเรียนจากที่มันเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมมาเตือนตัวเอง เตือนญาติพี่น้อง เตือนคนในครอบครัวว่า อย่าไปหลงเชื่อกลุ่มคนพวกนี้ ไปปฏิบัติธรรม บอกให้บริจาค ให้เอาเงินไปทำบุญกับเขาแล้วจะได้บุญเยอะๆ ให้ระวังไว้ให้ดี พวกนี้อาตมามองว่าเป็นมิจฉาชีพ”
ตลอดจนการฝากข้อคิดถึงการดูแลตนเอง ด้วยหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ 2 ข้อ ที่สามารถเข้าใจได้โดยง่าย คือ “ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย” และ “ผู้รักษาตนชื่อว่ารักษาคนอื่น ผู้รักษาคนอื่นชื่อว่ารักษาตน”
“ใส่มาสก์ไม่มีใครชอบหรอก ไม่มีใครอยากใส่หรอก หายใจไม่สะดวก อาตมาก็ไม่อยากใส่ แต่ทำยังไงได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ปมาโท มจฺจุโนปทํ ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย” เรื่องจริงเลย คือ ตายจริงนะไม่ได้ตายเล่นๆ ถ้าคุณติดเชื้อแล้ว เสียชีวิตขึ้นมา มันย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้ คือ ระวังซะก่อนที่มันจะเป็น ดีที่สุด อยู่ในความไม่ประมาท อะไรที่เรารู้สึกว่ามันลำบากหน่อย ต้องยอม ต้องมีขันติธรรม มีความอดทน
และพระพุทธเจ้าตรัสไว้อีกว่า “ผู้รักษาตนชื่อว่ารักษาคนอื่น ผู้รักษาคนอื่นชื่อว่ารักษาตน” เรารักษาตัวเราอย่าคิดว่ารักษาแค่ตัวเรา ถ้าตัวเราดีไม่ติดเชื้อ ปลอดภัย มันก็เท่ากับการที่เราเซฟคนอื่นไปด้วย อยากให้เชื่อพระพุทธเจ้า และอาตมาเชื่อว่าถ้าเราคิดอย่างนี้ เซฟตัวเราเองเพื่อที่จะเซฟคนอื่นด้วย สุดท้ายแล้วมันก็จะคลี่คลายไปในทางที่ดี”
ดูโพสต์นี้บน Instagram
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: กีรติ เอี่ยมโสภณ
คลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพเคลื่อนไหว: พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ “พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ”
ขอบคุณสถานที่: วัดสร้อยทอง กรุงเทพฯ
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **