วันนี้(21 เม.ย)นายธวเดช ภาจิตรภิรมย์ หัวหน้าพรรคแนวทางใหม่ ให้ความเห็นต่อสถานการณ์โควิด 19 ระลอก 3 ว่า แนวโน้มตัวเลขผู้ติดเชื้อช่วงนี้ยังคงมีความน่ากังวล ทำให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขต้องทำงานกันอย่างหนัก แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะเป็นช่วงสงกรานต์ซึ่งควรได้หยุดยาวเหมือนคนอื่น พวกเขากลับยังต้องทำงานอย่างเต็มที่ในภาวะตึงเครียด ตนจึงขอส่งกำลังใจไปยังบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึง อสม.และบุคลากรด่านหน้าทุกคนให้ได้รับความปลอดภัยจากการปฏิบัติหน้าที่และขอบคุณในความเสียสละอย่างยิ่งมา ณ ที่นี้ นอกจากนี้ ยังฝากไปถึงทุกคนว่า หากเลี่ยงความเสี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง หากเลี่ยงไม่ได้ก็ป้องกันให้เต็มที่ สวมแมสและล้างมือบ่อยๆเพื่อไม่เป็นการเพิ่มภาระให้ระบบสาธารณสุข สำหรับภาครัฐอยากให้ใส่ใจเรื่องความเสี่ยงของบุคลากรด่านหน้าทุกคนให้มากขึ้น ไม่ว่าแพทย์ แม่บ้าน หรือคนเก็บขยะ หากอยู่ด่านหน้าเช่นปฏิบัติงานในโรงพยาบาลสนามควรจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนทั้งหมด 100% เป็นกลุ่มแรกๆ อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องทำงานภายใต้ความเสี่ยง เพราะเท่าที่ทราบยังมีบุคลากรเหล่านี้ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เป็นเรื่องที่รัฐต้องดูแลอย่างเร่งด่วน
นายธวเดช ยังกล่าวต่อไปว่า สำหรับสถานการณ์นี้ สิ่งที่พอทำให้เห็นถึงความหวังได้คือความสำเร็จของการฉีดวัคซีนในหลายประเทศ เช่น อังกฤษและอิสราเอล ทำให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้มากขึ้น โดยเฉพาะอังกฤษหากติดตามข่าวในปีที่ผ่านมาจะพบว่าสถานการณ์หนักมาก แต่ก็สามารถกลับมาได้อย่างรวดเร็วอันเป็นผลมาจากการฉีดวัคซีน ดังนั้น เป้าหมายสำคัญของเราจากนี้ก็คือจะต้องเร่งฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด เนื่องจากที่ผ่านมามีเสียงสะท้อนจากหลายภาคส่วนโดยเฉพาะภาคธุรกิจที่สะท้อนอย่างชัดเจนว่า การฉีดวัคซีนของไทยมีความล่าช้ามาก
“จากการติดตามผลการประชุมของผู้บริหารระดับสูงจาก 40 บริษัทชั้นนำของไทยที่จัดโดยหอการค้าเมื่อวานนี้ (19 เม.ย.) พวกเขาได้แสดงความกังวลต่อการจัดหาและดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่เป็นไปอย่างล่าช้ามาก มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนไปเพียง 0.4% ของประชากร ขณะที่เป้าหมายการฉีดอยู่ที่ 70% ของประชากรเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ นอกจากนี้ ยังมีความเห็นที่น่าสนใจจากที่ประชุมว่า นอกจากบุคลากรด่านหน้าที่ควรฉีดวัคซีนเป็นกลุ่มแรกแล้ว ควรมีการจัดลำดับการฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยงใหม่เพื่อให้เหมาะกับบริบทที่เป็นจริงในบ้านเรามากขึ้น เพราะการที่ยุโรปกำหนดให้ฉีดวัคซีนกับกลุ่มผู้สูงอายุก่อนไม่ใช่เพราะมีความเสี่ยงเสียชีวิตอย่างเดียว แต่เป็นเพราะบริบทของเขา ผู้สูงอายุจะอยู่รวมกันในบ้านหรือหอพักคนชราจำนวนมากๆ ทำให้เมื่อติดเชื้อจึงเกิดการระบาดอย่างรวดเร็วเกินระบบการแพทย์จะรับได้ แต่สำหรับบ้านเรา ผู้สูงวัยจะกระจายไปตามหมู่บ้าน ไม่ได้อยู่รวมกัน และส่วนใหญ่การติดเชื้ออยู่ในวัยทำงาน เป็นกลุ่มที่เกิดการระบาดอยู่ในเมืองหรือในพื้นที่เศรษฐกิจ ดังนั้น หากกลุ่มนี้ได้รับวัคซีนก่อนและไม่นำเชื้อกลับบ้านซึ่งตอนนี้พ้นช่วงสงกรานต์หรือช่วงหยุดยาวมาแล้ว ก็จะสามารถทำให้กลไกเศรษฐกิจกลับมาเดินได้และไม่เกิดการระบาดใหญ่อย่างในยุโรป และภาคส่วนที่ควรได้รับวัคซีนเป็นลำดับต้นๆก็คือภาคท่องเที่ยวซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจไทย”
นายธวเดช ระบุว่า หากมีการปรับแผนวัคซีนโดยรับฟังภาคธุรกิจมากขึ้นจะส่งผลดี ตรงกับบริบทของประเทศ และจะทำให้แผนวัคซีนมีทิศทางขึ้น โดยเฉพาะภาคส่วนการท่องเที่ยง จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่การฟื้นภูเก็ตซึ่งเป็นเมืองนำร่องให้กลับมาเปิดการท่องเที่ยวเพื่อรับคนต่างชาติที่ฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมายเดิมของกระทรวงท่องเที่ยวฯ คือ เดือนกรกฎาคม ซึ่งหากสำเร็จด้วยดีจะขยายไปเมืองท่องเที่ยวอื่นๆในเดือนตุลาคม ดังนั้น แผนวัคซีนครั้งนี้จึงสำคัญมากซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลกลับมาได้ ตนจึงอยากให้รัฐเร่งฉีดและกระจายวัคซีนให้ได้โดยเร็วในภาคส่วนท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภูเก็ตจะต้องฉีดให้ได้ไม่น้อยกว่า 70 % ก่อนเดือน ก.ค. อย่างไรก็ตาม แม้จะเร่งแค่ไหร การฉีดวัคซีนก็จะต้องไม่ซ้ำรอยความผิดพลาดแบบที่ให้คนไปกระจุกรวมตัวกันฉีดที่เดียวคราวละมากๆแบบที่เคยเกิดมาแล้ว ครั้งนี้ต้องวางแผนการกระจายลงไปให้ทั่วถึง กว้างขวาง ต้องเตรียมบุคลากร อุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆรวมถึงชุดเคลื่อนที่ให้พร้อมเพื่อการกระจายวัคซีนให้มากที่สุด