xs
xsm
sm
md
lg

ต้องสู้!! เพราะชีวิตเลือกไม่ได้ วัย 17 “เก็บมะกรูดขาย” ประทัง 5 ชีวิตในกระต๊อบ [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดเรื่องราวชีวิต ผู้หญิง วัย 17 ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา “รับจ้างเก็บมะกรูด” พร้อมกับความหวัง หวังช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว สานฝัน-ไม่ยอมแพ้ “เพราะความลำบากทำให้รู้จักความอดทน








ต่อชีวิตครอบครัว ด้วย “รับจ้างเก็บมะกรูด”


ณ กระต๊อบหลังเล็กๆ มีสภาพทรุดโทรมบนที่ดินเช่าของรัฐ บริเวณไหล่เขา ต.เขาสามสิบหาบ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ที่อัดแน่นไปด้วยครอบครัวหนึ่ง ต้องใช้เป็นที่อยู่อาศัยซุกตัวนอนของ 5 สมาชิกครอบครัว ที่มีชะตาไม่ต่างกัน

“บีม-นันทนัช ชัยมงคล” วัย 17 ปี พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เล็กๆ เธอจึงเติบโตมาจากการเลี้ยงดูของปู่และย่า ที่มีฐานะยากจน มีอาชีพรับจ้างเก็บมะกรูด และเร่ขายผลไม้ตามตลาดนัด ซึ่งมีรายได้ที่ไม่แน่นอน

“ความเป็นอยู่ที่บ้านเป็นกระต๊อบเลยค่ะ ฝนตกยังไงก็ต้องนอนอย่างนั้น คือ อยู่ต่ำ มีน้ำท่วม ท่วมเข้ามา น้ำไหลจากป่าต้องเข้าบ้าน


อยู่กัน 5 คนค่ะ มีปู่กับย่า มีน้อง มีหนู และชวดข้างบ้าน คุณพ่อคุณแม่ไปทำงาน แม่อยู่กำแพงเพชร พ่ออยู่ท่ามะกาค่ะตอนนี้ เขาไม่ได้รับเราไปอยู่ด้วย เราอยู่กับปู่และย่า เขาเลี้ยงเรามาตั้งแต่เล็ก

มีเหนื่อยมีท้อบางครั้งค่ะ เห็นเพื่อนคนอื่นเขาสบาย แต่เราไม่สบายเหมือนเขา ชีวิตต้องสู้กันทุกคน บางคนรวยใช้ชีวิตสบาย แต่เราเกิดมาสู้ก็ดีแล้ว สอนให้เราอดทน

ต้องการมากที่สุดตอนนี้ คือ บ้าน อยากให้มันเสร็จไวๆ เพราะหนูก็โตเป็นสาวแล้ว คนแถวนี้ก็มีคนขี้ยาเยอะ หนูรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย หนูเข้าห้องน้ำอยู่ ห้องน้ำก็ไม่สมบูรณ์ ประตูยังพังเลย”


แม้บ้านหลังนี้จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ให้พอพักอาศัยได้ แต่ยังไม่เสร็จเรียบร้อย เพราะไม่มีเงินเพียงพอที่จะสร้างให้สำเร็จได้ตามที่ตั้งใจไว้

“ถ้าในความเป็นอยู่มันก็ดี บางอย่างก็ขาดแคลน บางอย่างก็ท้อ ขาดแคลนน่าจะเป็นเรื่องบ้าน ที่มันค้างคาไม่เสร็จสักที อยู่แบบนี้ ตรงนี้เป็นที่ดินของหลวง อยู่ได้ก็อยู่ถาวร ไม่มีการซื้อขาย เราเข้ามาอยู่ตอนที่ขายบ้านหลังเก่า ปู่ก่อนที่เขาจะขายบ้านหลังเก่า เขาก็มาดูบ้านที่นี้ไว้อยู่บนเขา

เธอเปิดใจกับผู้สัมภาษณ์ ถึงเรื่องราวชีวิตของตนเอง ที่นอกจากจะมีฐานะยากจน ต้องหารายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ในฐานะ “เด็กเก็บมะกรูด” ซึ่งภาพการทำงานหนักกลางแจ้งของปู่และย่า จึงยังคงเป็นภาพเตือนใจให้บีมตระหนักว่า จะตั้งใจเรียน และช่วยทำงานทุกอย่างเพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว

“ได้วันละ 400 ค่ะ ทำงานตั้งแต่ 6 โมง ถึงเที่ยง บางวัน 8 โมง ถึงเที่ยง เพราะว่าปู่กับย่าขายของ บางทีก็เก็บที่ไทรโยค บางทีก็ใกล้ๆ แถวบ้าน เดินทางด้วยรถกระบะ คือ ไปกับปู่กับย่า นั่งรถไปนานประมาณชั่วโมงกว่า

ตั้งแต่อยู่อนุบาลที่เข้าไร่ ทำงานเก็บมะกรูด ไปส่งนอก แต่ตอนนี้โควิดก็เลยไม่ค่อยมีงานเท่าไหร่ มีงานเป็นช่วงๆ

ช่วงหน้าแล้งไม่มีลูกมะกรูดเก็บ มันก็ต้องหาไปเรื่อยๆ เพราะเขาบอกว่าให้เราทำงาน เราก็ต้องทำตามหน้าที่ของเขา อย่างเช่นเขาต้องการที่ 15 ลัง วันนี้ได้ 10 ลัง วันอื่นก็ต้องเก็บให้ได้ครบ”

แน่นอนว่า งานรับจ้างเก็บมะกรูดขาย เป็นอาชีพที่มีรายได้ไม่แน่นอน อีกทั้งไม่สามารถกำหนดการทำงานได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับนายจ้างและฤดูกาล ทำให้กระทบต่อการดำรงชีวิตของครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“จากรายได้ 400-500 บาท กลายเป็นเดินทางไป 3-4 รอบ ค่ะ เพราะมันมีค่าใช้จ่าย ทั้งค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าต่างๆ เข้ามาๆ ไม่พอจ่าย บางวันก็เพียงพอ บางวันก็ไม่เพียงพอค่ะ


บางทีเก็บมะกรูดได้เท่านี้ พอลดไปอีก เงินก็ไม่เหลือแล้ว แต่ถ้าไม่ได้ทำงาน ไม่ได้ขายของตรงนี้ ก็ไม่มีเงินเลย”


ด้าน วิสัย ชัยมงคล กับวัย 61 ปี ผู้เป็นปู่ของบีม กล่าวว่า ต้องหารายได้เพิ่มด้วยการเร่ขายผลไม้ในตลาดนัด เพื่อให้พอมีค่าใช้จ่ายในครอบครัว

“เช้าตื่นขึ้นมาก็ออกไปขายของทุกวัน เราจะทำอย่างนี้ทุกวัน ถ้าวันไหนมีงาน เมื่อก่อนเราจะขายเช้ามืด 8 โมง เราก็จะเลิก รีบไปไทรโยค ขึ้นไปเอามะกรูด เพราะเป็นงานประจำเรา”

แม้รายได้จากการทำงานจะไม่แน่นอน แต่ในมุมมองของบีมที่ได้รับกลับมาจากการทำงานหนัก คือ คุณค่าของเงินและประสบการณ์ชีวิตอันล้ำค่า เพราะด้วยประสบการณ์ ที่เจอมาหลายรูปแบบ

“ได้ความรู้ไปในตัวด้วย อย่างคนอื่นเขาไม่ได้มีความรู้ในไร่ การทำไร่ แต่เรายังมี ก่อนที่จะมีมะกรูด เราก็ผ่านข้าวโพด ข่า ตะไคร้ สับปะรด แต่มันก็ไม่สำเร็จ กว่าจะได้งานมะกรูดตรงนี้มันยาก

กว่าจะได้เถ้าแก่ที่ดี เพราะก่อนหน้านี้ เคยได้เถ้าแก่ที่ได้เงินไม่ตรงเวลา อย่างเราไปถึงตอน 4 โมง เราก็ได้รับเงินตอนตี 3 ตี 4 เราต้องไปนั่งรอเขา”




เคราะห์ซ้ำ!! เสาหลักล้มป่วย “ไตวาย”


“เขาไม่ได้เรียนจบสูง เขาก็พยายามให้ลูกเรียนจบสูงที่สุด เขาไม่ค่อยมีเงินเท่าไหร่ ปกติ 60 ทำงานแล้วตัวเองต้องมีเงินกิน แต่เขาต้องมาหมกมุ่น หยุดงานก็ไม่ได้ หยุดงานต้องอดตายแน่นอน”

เด็กผู้หญิงวัย 17 ปี ยังย้อนมองกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน เมื่อครอบครัวต้องเจอวิกฤตที่รุนแรง เมื่อปู่ที่เป็นเสาหลักของครอบครัว ป่วยไตวายเฉียบพลับเกือบเสียชีวิต โดยสาเหตุ คือ ในอดีตปู่เคยเป็นคนขับรถบรรทุกทำงานหนัก ต้องขับรถทางไกลถึง 500-600 กิโลเมตรต่อวัน

ด้วยความที่นั่งในรถนานๆ ทำให้เกิดฝีที่ก้น แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงไม่ได้ไปหาหมอ ได้แต่ซื้อยากินเอง จนในที่สุดทำให้ปู่ป่วยไตเสื่อม ค่าไตเหลือไม่ถึง 5%

ภาพเก่าๆ ของ วิสัย ชัยมงคล ฉายขึ้นอีกครั้ง ยอมรับวันนี้สังขารของเขาร่วงโรยไปมาก เพราะทำงานมาอย่างหนักตลอดชีวิต เพื่อนำเงินมาจุนเจือครอบครัว


“เรื่องของเรื่อง คือ ขับรถมาก ขับรถตลอด ชีวิตนี้ขับรถสิบล้อเลี้ยงลูก ส่งลูกจนเรียนจบกันหมด เรานั่งมาก บางวันขับถึง 500-600 กิโลเมตรต่อวัน นั่งมากๆ ก้นก็เป็นฝีกดทับ

เราไม่มีเวลาจะรักษา ทำแต่งาน กินยาแก้ปวด กินไปกินมาไตพัง พอไต่เสื่อมเราก็เข้าโรงพยาบาลผ่าตัด ผ่าตัดเสร็จ เราก็ไตวายน็อกไปเลย เป็นอยู่ครึ่งปี ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ต้องอยู่โรงพยาบาล

รักษาจากการไตวาย เสร็จแล้วเป็นเกาต์ ความดัน และต่อมลูกหมากโต ฝี รักษาแผลตัวเองด้วย


อยู่เป็นปี รักษาเกือบทุกโรค ยกเว้นเบาหวานอย่างเดียว สภาพตอนนั้น คือ ผอมแห้ง จะพลิกตัวต้องให้พยาบาลมาพลิกตัวให้ นอนติดเตียง ต้องปูผ้ายางตลอดเวลา ตอนนั้นคิดว่าไม่อยากอยู่ คือว่าจะโดนฟอกไต ถ้าฟอกมาทำเงินเท่าไหร่ ก็ไม่เหลือ ลูกหลานจะไม่ได้กิน ไม่ได้ใช้เลย”

ขณะที่ จุ๋ม ชัยมงคล ผู้มีศักดิ์เป็นย่า เสริมว่า ตอนนั้นกำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเปอร์เซ็นต์ที่สามีเสียชีวิตมีสูง

“หมอบอกว่า ตาย ให้คุณป้าทำใจว่ามาช้าเกิน เพราะไตลุงเขาไม่เหลือสักเปอร์เซ็นต์ แล้วผ่าตัดแผลมันก็เยอะไป ลุงตายนะเขาบอกอย่างนี้

มีท่อ มีเส้นเลือดเต็มหมดเลย เพราะหมอถ่ายเลือดด้วย เราก็ใจเสีย แล้วลูกถามว่าสู้ไหม เราสู้ แต่หมอไม่ให้เฝ้าอยู่ ICU ให้กับมานอนบ้าน หมอไม่ให้เข้าเยี่ยมเลย เพราะเข้า ICU แล้ว ก็ได้แต่นั่งเฝ้ารอวันเขาออกมา ก็เป็นเดือน

เขาก็นอนร้องไห้ บอกช่วยอะไรไม่ได้เลย เราก็บอกว่าชีวิตคนเราก็ต้องมี มันสุขกันหมดก็ไม่ได้ คนอื่นยิ่งกว่าเรายังมีอีกเยอะ”

หลังจากนั้น ด้วยภาวะอาการป่วยจากโรคไตวายที่รุนแรง แต่ไม่มีเงินรักษา ปู่จึงเลือกวิธีควบคุมอาหารเพื่อรักษาชีวิตตนเอง

“อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2,500 ก็ขอร้องหมอว่าอย่าเพิ่งทำได้ไหม ขอควบคุมอาหาร ควบคุมการกินอยู่ ใช้ชีวิตใหม่ ของที่เขาห้ามก็จะไม่แตะ อด กินข้าวเปล่าๆ จะไม่กินกับอะไรเลย 1 เดือน ที่ไตให้มันดีขึ้น ไม่ต้องฟอกไต รายได้ตอนนั้นก็แย่ รายได้จากวิ่งมะกรูดเที่ยวหนึ่งก็เหลือไม่กี่บาท ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเดินได้ไหม”

อย่างไรก็ดี การรักษาตัวของปู่ที่เป็นเสาหลักของบ้าน ใช้เวลาอยู่นาน กว่าจะสามารถกลับมาลุกขึ้นเดิน และเริ่มทำงานได้ ซึ่งบีมยอมรับว่า เป็นช่วงเวลาที่รู้สึกท้อแท้มาก แต่ทำให้เธอรู้จักตั้งรับกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต

“หนักมากเลยค่ะ ไม่มีคนดูแลบ้าน มีปู่กับย่าเป็นเสาหลัก รถก็หาย พอทำงานก็ต้องหาคนขับรถมาจ้างวันละ 800-1,000 บาท

มันก็ท้อมาก ตอนนั้นปู่กับย่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีงานทำ ย่าก็ต้องนอนโรงพยาบาล หนูก็ต้องไปโรงเรียนกัน แล้วช่วงนั้นต้องนอนโรงพยาบาล เราเรียนรู้เยอะเลยค่ะ ว่าชีวิตเราต้องสู้ คนป่วยเขายังสู้เลย เราไม่สู้ได้ไง”





ชีวิตเลือกไม่ได้ต้องสู้!!




“เคยถามน้องว่าทำไมต้องมาทำแบบนี้ด้วย พอโตมาเรื่อยๆ ก็รู้ว่ามันเป็นยังไง กว่าจะได้ตรงนี้มันก็ยาก”

ถึงแม้ชีวิตที่ผ่านมาของบีม จะยากลำบากเพียงใด บีมกลับไม่เคยยอมแพ้ ไม่เคยคิดละทิ้งการเรียน และฝันอยากมีอนาคตที่ดีกว่านี้ เพราะเชื่อว่ามันคืออนาคต

“มันก็ต้องเลือกเรียนมากกว่า งานตรงนี้ช่วยได้ คือ หนูคิดว่ามันเป็นอนาคตของเรา ถ้าเราออกมาช่วยงานเลย อนาคตของหนูล่ะ เราก็อยากมีอนาคตเหมือนเด็กคนอื่น


พออันไหนที่เขาทำได้ เขาก็จะทำไปก่อน อันไหนเราช่วยได้ เราก็จะช่วยไปก่อน ส่วนการเรียนก็ออกมาดีค่ะ บางครั้งก็ได้ 2 กว่า เกือบ 3 บางทีก็ได้ 3 กว่า แล้วแต่บางเทอม

เป้าหมายของบีม คือ ปริญญาตรีค่ะ อยากเป็นทหาร ปู่กับย่าบอกว่าดูปู่กับย่าเป็นตัวอย่าง ว่าเขาจบแค่ ป.4 เขาต้องมานั่งตากแดด ตากฝนแบบนี้เขาก็อยากให้เราเรียนจบ เรียนสูงๆ ถ้ามีทุนก็จะพยายามทำให้ได้ หนูมีทุนหนูก็คว้าไว้หมด ถ้าไม่มีก็ไม่ได้”



หากวันไหนมีงานเก็บมะกรูดเข้ามา บีมจะหยุดเรียนเพื่อไปช่วยเก็บในไร่ ตกสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อแบ่งเบาภาระของปู่และย่าที่อายุมากขึ้น แลกกับเงินเพื่อให้ชีวิตดี แต่งานเหล่านี้จะต้องไม่กระทบกับการเรียน

“ถ้าเรียนต่อไม่ได้จริงๆ ก็คงทำงานที่ปู่กับย่าเขาสร้างเอาไว้ ถ้าเรียนเป็นไปได้อยากเรียนให้สูงๆ เพราะว่าทำมะกรูดมันเหนื่อย…อยากจะบอกว่าชีวิตมันเลือกเกิดไมได้ คนเรามันต้องสู้ อย่าไปคิดสั้นฆ่าตัวตาย

ถ้าไม่มีเขา 2 คน หนูคงเป็นเด็กกำพร้า เพราะตอนนั้นเป็นยุคที่พ่อแม่มีลูกก่อนวัยอันควร ถ้าเกิดเขาทิ้งเรา ถ้าปู่กับย่าไม่รับเราไว้ เราก็ต้องไปเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่ ยังดีที่เขารับเรา บางทีเขาบอกให้ทำแท้ง ถ้าไม่เก็บลูกตรงนี้เอาไว้ หนูก็ไม่ได้โตมาแบบนี้หรอก”

นี่คือเรื่องราวของ บีม สาวน้อยวัย 17 ปี เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่จิตใจแข็งแกร่ง สำหรับเธอในวันนี้ เมื่อไม่มีพ่อมีแม่ที่แท้จริงคอยดูแลใกล้ชิดเหมือนเด็กทั่วไป แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอกลายเป็นเด็กที่มีปัญหา และไม่คิดจะยอมแพ้ต่อโชคชะตา




หากท่านใดต้องการช่วยเหลือครอบครัวนี้ สามารถโอนเงินไปที่ ธนาคารกรุงไทย สาขาท่ามะกา ชื่อบัญชี น.ส.นันทนัช ชัยมงคล เลขที่บัญชี 714-0-66926-0







สัมภาษณ์ : รายการ “ฅนจริง ใจไม่ท้อ”
เรียบเรียง : MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์


** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **


กำลังโหลดความคิดเห็น