“รับปากกับเขาไว้ ก็ต้องลงให้เขา” เปิดใจ “เจ๊จง” ประกาศลดราคาหมูทอดตามสัญญา หลังราคาต้นทุนหมูลดลง โซเชียลฯชื่นชม ร้านอื่นควรเอาเป็นแบบอย่าง ไม่เพียงแค่นั้นยังคืนกำไรสู่สังคม ช่วยเหลือคนตกงานยุคโควิด “เจ๊ไม่ใช่แม่พระ ถ้าอันไหนที่เจ๊ช่วยได้ก็จะช่วย”
สัญญาเป็นสัญญา ลดราคาตอนหมูลง
“มันขึ้นไปแพงมาก เจ๊ไม่เคยขายหมูที่ต้นทุนสูงขนาดนี้คือ 140 กว่าบาท เลยบอกว่าถ้าเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่หมูมันลงมาราคาที่เจ๊รับได้ มีกำไรเหลือบ้าง เจ๊ก็จะปรับลงมาให้ เพราะมันเป็นสินค้าที่มีขึ้นมีลงค่ะ คราวนี้พอหมูมันลงมาในราคาที่เจ๊พอจะไหว เจ๊ก็บอกลูกเลยว่า มันเป็นคำพูดแม่นะ แม่ได้รับปากกับเขาไว้ แม่ก็ต้องลงให้เขา เพราะเวลาที่เราขายแพง เราขอเขา เขายังให้เราขึ้นเลย ในเมื่อเวลาที่มันลงมาแล้ว เราก็ต้องลงให้ลูกค้า”
จงใจ กิจแสวง หรือ เจ๊จง วัย 55 ปี เจ้าของร้าน “หมูทอดเจ๊จง” ร้านหมูทอดชื่อดัง เปิดใจแก่ทีมข่าว MGR Live หลังจากที่เธอโพสต์ผ่านแฟนเพจ “ร้านหมูทอดเจ๊จง” ประกาศลดราคาหมูทอดแบบขายเป็นกิโล หลังจากที่ราคาหมูต้นทุนลดลง
หากย้อนกลับไปราว 4 เดือนก่อน เจ๊จงก็เคยออกมาประกาศลักษณะนี้ หากแต่ครั้งนั้นเป็นการขอขึ้นจาก 260 บาท เป็น 280 บาท เนื่องด้วยแบกรับต้นทุนไม่ไหว เพราะราคาหมูในท้องตลาดปรับขึ้นสูง พร้อมกับให้สัญญาลูกค้าว่า หากราคาหมูลดลงเมื่อไร จะปรับลดราคาลงตามเช่นกัน
ทันที่ที่การประกาศของทางร้านถูกส่งต่อออกไป ก็นำมาซึ่งเสียงชื่นชมมากมายในความซื่อสัตย์สุจริตของแม่ค้าผู้นี้เป็นจำนวนมาก เธอกล่าวกับทีมข่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตัดสินใจขึ้นราคา เพราะไม่อยากเอาเปรียบลูกค้า
“ตอนนั้นเจ๊แบกไว้จนไม่ไหวแล้ว ตอนที่มันขึ้นไปเจ๊ก็จะคอยถามกับร้านอยู่เรื่อยว่า หมูเป็นยังไง หมูลงรึยัง ถ้าลงแล้วต้องรีบลงให้เลยนะ แต่จริงๆ แล้วเมื่อหลายปีก่อนเจ๊ก็ทำแบบนี้นะ ตอนนั้นหมูแพงก็ขึ้นไป พอหมูลงเจ๊ก็ลงให้ ด้วยความที่เราคิดว่าเราขายราคาเท่านี้เราพอได้ ซึ่งคนอื่นเขาอาจจะมีต้นทุนที่สูงกว่าเจ๊ เขาก็เลยอาจจะปรับลงมาไม่ได้
เจ๊เป็นคนแบบนี้อยู่แล้วด้วย เป็นคนที่ไม่ชอบเอาเปรียบใคร ถ้าเจ๊ทำอะไรเจ๊รู้สึกเหมือนจะไปเอาเปรียบเขา เจ๊ก็เลยลง เราก็รู้สึกสบายใจ ถ้าเจ๊ยังไม่ลงให้เขาตอนนี้เจ๊จะทุกข์หนัก ในเมื่อเคยบอกทำไมไม่ทำอย่างที่พูด แต่สุดท้ายพอทำแล้วเจ๊รู้สึกมีความสุข เจ๊ได้ทำอย่างที่พูดแล้ว เจ๊ไม่ได้เสียคำพูด
เวลาเจ๊จะขึ้นแล้วเจ๊ไม่ได้ปุบปับ แก๊สขึ้นเรายังพอแบกได้ สมมติกำไรร้อยนึง เจ๊อาจจะโดนตัดไปซัก 5 บาท ไม่เป็นไรเรายังอยู่ได้ แต่ถ้าสมมติแก๊สขึ้นมาแล้วเราไปขึ้นลูกค้าเพื่อที่จะให้กำไรมันยังเท่าเดิม ซึ่งเจ๊มองว่าลูกค้าก็จะไม่อยู่กับเรานะ สุดท้ายมันก็จะไม่ทำให้เราเหลือกำไรเท่าเดิม มันอาจจะลดไปเลยหรือลูกค้าเราหายไปเลยด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นเราต้องมาดูว่าบางทีก็ต้องยอมขาดทุนกำไรมั้ย เพื่อที่ให้ลูกค้ายังมากินเรา อย่างน้อยเรายังขายได้ทุกวัน พอเราขึ้นปุ๊บ บางทีพรุ่งนี้เขาอาจจะไม่มากินเราเลย ไปกินที่อื่นแล้ว เป็นคนที่ห่วงลูกค้ามาก ทำยังไงก็ได้อย่าให้ลูกค้าหายไป”
ช่วงวิกฤติ เราจะโลภไม่ได้
“เวลาที่มันมีวิกฤติอะไรก็แล้วแต่ เจ๊จะไม่ค่อยมีผลกระทบ เจ๊จะมีผลกระทบก็ต่อเมื่อวันไหนก็แล้วแต่ฝนตกหนักๆ จะขายตกไปหน่อยนึง แต่ถ้าเป็นอันอื่น เจ๊ไม่มีผลกระทบ ยังขายได้ดีอยู่ค่ะ มันก็ถือว่าเป็นความโชคดีของเจ๊ด้วย”
ปัจจุบัน หมูทอดเจ๊จง มีจำนวนกว่า 12 สาขาทั่วกรุงเทพฯ โดยได้ลูกๆ ทั้ง 4 คนมาช่วยกันดูแลกิจการ ซึ่งเมนูในร้านไม่ได้มีเพียงแค่หมูทอดเท่านั้น แต่ยังมีอาหารอื่นๆ ทั้งข้าวราดและเมนูทอดกระเทียมมาเสริมทัพอีกด้วย
นอกจากความอร่อยของรสอาหารที่เป็นที่เลื่องลือแล้ว อีกสิ่งที่ทำสะท้อนตัวตนของเจ๊จง คือการคืนกำไรสู่สังคม และมีน้ำใจในการช่วยเหลือผู้คนเสมอ อย่างช่วงวิกฤติโควิด-19 ระบาดหนักที่ผ่านมา ร้านของเธอก็เป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญ ในการเป็นเสบียงช่วยเหลือแพทย์และพยาบาล ตลอดจนเคยเข้าไปสอนสูตรการทำหมูแก่นักโทษในเรือนจำมาแล้ว
“(ช่วงโควิด) ตอนนั้นเงินที่ร่วมสมทบทุนกันมาล้านกว่าบาท เป็นพวกเพื่อนๆ เข้ามาร่วมกับเจ๊ พอมีหลายๆ คนเข้ามาร่วม มีผู้ใหญ่เข้ามาคอยดูแลให้ ว่าเงินเท่านี้จะทำไปได้กี่วัน มันก็เลยทำให้ไปได้เยอะมาก หลายหมื่นกล่อง แต่การที่มีเงิน เจ๊ก็ต้องทำให้โปร่งใสที่สุด ไม่เก็บไว้แม้แต่บาทเดียว และอย่างบางร้านขายไม่ค่อยได้ เราก็จะช่วยเขา แล้วก็เอาร่วมไปให้กับคุณหมอทาน หรือรถขนส่งของเราจ้างเพื่อเอาของไปส่งให้กับคุณหมอ เหมือนร่วมช่วยกันได้หลายๆ ต่อ
“พี่หนุ่ย - ดร.ศิริกุล เลากัยกุล” เขารักครอบครัวเจ๊ เขาก็จะมาเป็นที่ปรึกษาให้ คอยแนะนำ แล้วเขาก็เห็นว่าเจ๊ตอนนั้นงานไม่ได้เยอะอะไร ก็เลยอยากให้ไปสอนอาชีพให้กับพี่ๆ น้องๆ ในเรือนจำ เวลาที่เขาออกมาเขาจะได้มีอาชีพติดตัว เจ๊ก็บอกได้ค่ะ ยินดีเลยค่ะ ก็ไปช่วยกัน ถ้าอันไหนที่เจ๊ช่วยได้เจ๊จะช่วย เจ๊ยินดี เต็มใจอยู่แล้ว แต่ถ้าอันไหนที่มันไม่ได้ เจ๊ไม่ไหวจริงๆ ก็จะบอก แต่ส่วนมากไม่ค่อยจะพลาด
ทุกวันนี้เจ๊ยังตื่นตี 2 กว่าๆ ก็ลงมาแล้ว มาทำข้าวกล่องที่โครงการตอนช่วงโควิด ให้คนตกงานรับไปขาย ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีคนตกงานอยู่อีกเยอะ เขาก็ยังมาเอาไปขายกันอยู่ เป็นโครงการที่คนตกงานมาเอาไปขาย เขายังไม่มีงานทำสุดท้ายเขาก็ยังอันนี้ไป บางคนเป็นอาชีพหลักเลยด้วยซ้ำ ก็ยังมีเดินเข้ามาต่อเนื่อง ด้วยช่วงนี้ก็ยังมีคนตกงานเยอะ ไม่ใช่ว่าสถานการณ์มันดีขึ้นแล้วนะ มันก็ยังแย่อยู่ มีมาเอาไปขายบ้างพอค่ากับข้าวกัน”
แม้จะทำหน้าที่ช่วยเหลือสังคมมามากมาย แต่เจ๊จงก็กล่าวว่าเธอไม่ใช่แม่พระ เพียงแค่เรื่องใดช่วยได้ก็พร้อมช่วยเต็มที่
“เจ๊ไม่ใช่แม่พระขนาดนั้น ร้ายเจ๊ก็ร้ายเหมือนกัน (หัวเราะ) เจ๊ไม่ได้เป็นคนดีอะไรหรอกค่ะเพียงแต่ว่าเจ๊ก็แค่มอง อันไหนที่ต้องช่วย หรืออันไหนที่ไม่น่าช่วย เจ๊เคยช่วยแล้วโดนหลอก กับคนที่เราจะช่วย บางทีต้องพิจารณาเยอะๆ การที่เราจะช่วย ช่วยแล้วเขาจะรอดมั้ย ช่วยแล้วเราเองเจ็บมั้ย ช่วยเท่าที่ช่วยได้”
พร้อมกันนี้ ยังได้ฝากข้อคิดถึงการค้าขาย ที่ต้องมีสิ่งสำคัญคือความใส่ใจและรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม
“ช่วงโควิดตอนนี้เจ๊ขายดีมาก คนแน่นมาก เจ๊ก็มาคุยกับลูกว่า เราจะโลภไม่ได้ ถ้าเราโลภแล้วทำแบบนี้ ถ้าคนใดคนหนึ่งติดโควิดขึ้นมา มันกลายเป็นว่าต้องปิดร้าน ลูกน้องต้องตกงาน ยอดขายตอนนั้นดีมากๆ แต่เจ๊ก็ไม่ได้อยากได้ไง เพราะเจ๊รู้สึกว่าเรากำลังสร้างภาระให้สังคมถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ตอนนั้นไม่ไหวจริงๆ เพราะฉะนั้นเราต้องกลับมาดูว่าเราจะทำยังไงให้คนไม่มีแน่นแบบนี้ แล้วก็มาปรับวิธีการขายหน้าร้านใหม่ เพื่อที่คนจะได้ไม่แน่น
จริงๆ เจ๊มองแค่เอาตัวเราเป็นที่ตั้ง เจ๊เป็นคนที่ถ้าเวลาไปซื้อของร้านไหน เจ๊ก็ต้องการความจริงใจจากพ่อค้าแม่ค้า จริงใจของเจ๊หมายถึงว่า ถ้าเจ๊เป็นคนขาย ดีก็คือดี ไม่ดีก็คือไม่ดี ไม่ขาย คำพูดก็สำคัญ ขึ้นก็ขึ้น ลูกค้าไม่ว่า ลงก็ต้องลงให้ แล้วอย่างเวลาซื้อเราชอบของดีอยู่แล้ว แต่เราไม่ชอบที่จะซื้อของแพงมาก เพราะฉะนั้นคนที่ขายดีก็ต้องดูว่าเขาขายดีเพราะอะไร ราคาไม่ได้สูง จับต้องได้ง่าย แล้วของที่มาขายก็ต้องมีคุณภาพด้วย ไม่ใช่ขายถูกแล้วของไม่มีคุณภาพ”
ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : แฟนเพจ “ร้านหมูทอดเจ๊จง”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **
