นับถอยหลัง ไทยเตรียมเปิดประเทศ รับ นทท.ต่างชาตินับหมื่นปลายเดือนนี้ บรรเทาความเดือดร้อนภาคเศรษฐกิจ แพทย์ย้ำความเสี่ยงโควิด-19 ระลอกใหม่แทบเป็นศูนย์ เหตุเพราะระบบคัดกรองแม่นยำ แถมรู้ผลใน 3 ชม. เผย “แรงงานต่างชาติไม่ได้กักตัว น่ากลัวกว่าเป็นร้อยเท่า”!!!
ไม่เร็วเกินไปที่จะเปิดประเทศ
กลายเป็นประเด็นสำคัญระดับประเทศที่สังคมกำลังให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ กับกรณีที่ไทยเตรียมเปิดประเทศ เพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติล็อตแรก ภายหลังวันที่ 25 ตุลาคมที่จะถึง เพื่อช่วยเหลือด้านการท่องเที่ยว การโรงแรม ที่ได้รับความเดือดร้อนในระบบภาคเศรษฐกิจ
ทว่า ภาคประชาชนก็เกิดความกังวลไม่น้อย ว่าการตัดสินใจดังกล่าว จะให้ประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงการระบาดระลอก 2 ของโควิด-19 หรือไม่ เพราะแม้จะมีเงื่อนไขต้องกักตัว 14 วัน แต่หลายต่อหลายครั้งที่ผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการในช่วงกักตัว แล้วมาตรวจพบในภายหลัง อีกทั้งจำนวนของนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมาอยู่ในหลักนับพันนับหมื่นคน แล้วแบบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรับความเสี่ยงที่อาจตามมาไหวหรือไม่?!
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภากาชาดไทย ในฐานะหนึ่งในคณะทำงานที่เฝ้าระวังสถานการณ์ของวิกฤติโควิด-19 ก็ให้ความเห็นแก่ทีมข่าว MGR Live ถึงประเด็นที่เกิดขึ้นว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีความพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากมีระบบคัดกรองที่มีความแม่นยำและสามารถควบคุมได้
“เรามีความพร้อมเพราะข้อแรกประเทศไทยสามารถเลือกนักท่องเที่ยวจากต่างชาติได้ เราเป็นผู้เลือกไม่ใช่เขาเลือกเราอย่างเดียว ดังนั้นเราสามารถที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ว่าใครที่จะเข้า จะต้องมีขั้นตอนปฏิบัติอย่างไรบ้างตามที่เรากำหนดไว้
ข้อที่ 2 มาตรฐานที่เราทำอยู่ คือกักตัว 14 วัน ทางศูนย์โรคอุบัติใหม่เราก็มั่นใจอยู่แล้ว แต่เพื่อความสบายใจของคนทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติก็ตามที่เข้าประเทศไทย มีทั้งแยงจมูกในวันที่ 0 วันที่ 7 และวันที่ 14 แต่ขณะนี้เรามีวิธีการตรวจเลือดซึ่งทราบผลภายใน 3 ชั่วโมง โดยการเจาะเลือดที่ปลายนิ้ว ประมาณ 0.3 ซีซี ได้ผลมีความไว 100 เปอร์เซ็นต์ มีความแม่นยำ 100 เปอร์เซ็นต์
พูดจริงๆ เราไม่ได้กลัวนักท่องเที่ยวเลย ความเสี่ยงตรงนี้จะเรียกว่าเป็นศูนย์เลยก็ว่าได้ ระลอก 2 ตัวแปรที่จะเกิดขึ้นได้คือแรงงานต่างชาติที่เข้ามาเป็นพันเป็นหมื่นคน เข้ามาทางช่องทางธรรมชาติทั้งสิ้น นักท่องเที่ยวเราสามารถควบคุมได้เต็มร้อย มีวิธีการตรวจเต็มร้อย ถ้าพูดถึงแรงงานต่างชาติอาจจะไม่ได้มีการกักตัวด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ตรงนั้นน่ากลัวกว่าเป็นร้อยเท่า”
เมื่อถามความคิดเห็นว่า เร็วไปไหมที่จะเปิดประเทศในอีกไม่กี่วันนี้ เพราะอย่างประเทศอื่น อย่างเช่นญี่ปุ่นก็กำหนดไว้ราวเดือนเมษายนปีหน้า คุณหมอให้คำตอบว่าไม่เร็วไป เพราะการเปิดประเทศในครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ไม่มากก็น้อย
“เราสามารถเลือกคนที่จะเข้ามาได้ ตรงนั้นไม่ได้เรียกว่าเร็วไปเพราะว่าขณะนี้เราต้องใช้วิชาการนำ ใช้เทคโนโลยีทุกอย่างที่สุดเราพิสูจน์แล้วว่ามันช่วยคัดกรองได้ 100 เปอร์เซ็นต์ มันทำให้เศรษฐกิจของเราน่าจะดีขึ้น เราสามารถนำนักธุรกิจมาหรือคนที่ตั้งใจจะลงทุนในประเทศไทย เขาก็อยากที่จะมาอยู่ในประเทศไทยทั้งสิ้น แถบสวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์กต่างๆ อยู่ทีละนานๆ ดังนั้นก็จะได้ช่วยเศรษฐกิจในพื้นที่ท่องเที่ยวต่างๆ เหล่านี้ด้วย”
เจาะลึกระบบคัดกรอง รู้ผลใน 3 ชม.
“ถ้าเลือดมาถึงห้องแลปปุ๊บ 3 ชั่วโมงทราบผล แล้วเราก็รีบบอกไปทางสถานกักกันได้เลย ถ้าเกิดบวกมาตอนนี้ก็เข้ากระบวนการตามปกติ คุณติดเชื้อ คุณปล่อยเชื้อหรือไม่ ก็ต้องหากันให้ปลอดภัยจริงๆ ถ้าคุณปล่อยเชื้อออกมาต้องให้แน่ใจจริงๆ ว่าไม่ปล่อยแล้ว ถึงจะปล่อยจากที่กักกันตัวได้”
ตามที่เกริ่นไปแล้วข้างต้น ว่าวิธีการที่จะนำมาใช้คัดกรองนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทย จะใช้การเจาะเลือด และการแยงจมูก เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะในวิธีแรกที่ ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่กล่าวว่า สำหรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ จะใช้การตรวจ elisa สามารถทราบผลได้ภายใน 3 ชั่วโมงหลังตรวจ อีกทั้งยังให้ผลที่แม่นยำถึง 100 เปอร์เซ็นต์
“การตรวจเลือดตรงนี้เป็นหลักฐานที่สำคัญว่ามีการติดเชื้อ ผลที่จะบอกว่าหลักฐาน IgG , IgM และภูมิที่ยับยั้งไวรัสได้ ถ้าตัวใดตัวหนึ่งขึ้นก็แสดงว่ามีการติดเชื้อจริง ตรงนี้แค่บอกเฉยๆ ว่าคุณมีการติดเชื้อ แต่ถ้าหากว่าปล่อยเชื้อได้มั้ย ต้องแยงจมูก แยงลำคอต่อ ที่ใช้การตรวจเลือดเพราะมีความแม่นยำ มีความไว 100 เปอร์เซ็นต์ ความจำเพาะ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าหากว่าเราใช้การแยงจมูกเฉยๆ ถ้าแยงออกมาอาจจะเชื้อไม่มาก ในการตรวจอาจจะไม่เต็มร้อย
ทั้งนี้ทั้งนั้น เราเช็กจากการดูผู้บริจาคโลหิตที่ศูนย์บริการโลหิต 200 ราย ก็ไม่พบว่าให้ผลบวกปลอม เราก็ตรวจกับผู้ติดเชื้อชนิดอื่นที่ไม่ใช่โควิด-19 อีก 300 ราย ก็ไม่พบว่าให้ผลบวกปลอม เมื่อเราเช็กกับผู้ป่วยโควิด-19 จริงๆ ที่เขาโรงพยาบาลจุฬาฯ 98 ราย ทุกรายเข้าโรงพยาบาลเราเจาะเลือด ผลเลือดก็ให้ผลบวกทั้ง 98 ราย
อย่างเดือนตุลาเราก็เสนอว่า ถ้าจะกักตัว 14 วัน ก็ทั้งเจาะเลือดและแยงจมูกพร้อมกัน วันที่ 0 วันที่ 7 และวันที่ 14 แต่ถ้าหากว่าดูไปประมาณ 1,000 คนแล้ว ผลในการเจาะเลือดสามารถตอบโจทย์ได้เลย ก็สามารถจะบีบลดระยะเวลาในการกักตัว จาก 14 วันเหลือ 7 วันได้ ซึ่งทางต่างประเทศที่เขาอยากจะเข้ามาท่องเที่ยว แต่อาจจะไม่ถึงกับ Long stay 6-9 เดือน อาจจะอยากมาแค่ 2-3 อาทิตย์ ตรงนี้เขาก็มีความเต็มใจที่จะมาตรวจได้
สำหรับค่าใช้จ่ายของการเจาะเลือดตรวจหาเชื้อนั้น ตกอยู่ประมาณครั้งละ 1,000 บาท ส่วนการแยงจมูกตกประมาณ 2,000 -7,000 บาท
“เราตรึงราคาไว้ที่ 1,000 บาท แต่ว่าในขณะเดียวกันชุดตรวจแบบนี้ไปซื้อจากต่างประเทศมา วิธีการคล้ายๆ แบบนี้จะต้องถึงหมื่นบาทด้วยซ้ำ ในการตรวจแต่ละครั้ง ถ้าแยงจมูกก็ประมาณ 2,000 -7,000 บาท ถ้าเป็นห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายถ้าเป็นนักท่องเที่ยวเป็นความรับผิดชอบของเขา แต่ถ้าเป็นคนไทยผมไม่แน่ใจ เราใช้การผสมผสานกันของการตรวจทั้ง 2 ชนิด เพื่อสร้างความมั่นใจคนในพื้นที่ และคนไทยทุกคนด้วย”
ไม่เพียงแค่การคัดกรองเมื่อก้าวเข้ามาในราชอาณาจักไทยเท่านั้น ภายหลังจากที่กักตัวครบตามระยะเวลาที่กำหนดแล้ว ยังมีกระบวนการติดตามตัวระหว่างที่พำนักอยู่ในไทยอีกด้วย
“ผมมั่นใจมากอยู่แล้ว ที่ห้องปฏิบัติการของเราที่จุฬาฯ เราก็เจาะเลือดเป็นประจำ เพราะว่าเราอยู่ในโรงพยาบาลเราเสี่ยงมากกว่าอยู่ข้างนอกอีก ในขั้นตอนสุดท้ายหลังจากที่เรากักตัว ตรวจเลือดเรียบร้อยว่าไม่ติดเชื้อจริง ยังไม่จบ ขั้นตอนต่อไปก็คือมีระบบการติดตามตัว ยกตัวอย่างเช่น การใส่ริสแบนด์ข้อมือ ส่งสัญญาณขึ้นไปที่ดาวเทียมว่าขณะนี้นักท่องเที่ยวอยู่ที่ไหนของพื้นที่ ในริสแบนด์ตรงนั้นมีที่วัดอุณหภูมิได้ด้วย ว่ามีไข้ขึ้นมารึเปล่า
ระบบการติดตามตัวจะมีเส้นทาง เหมือนว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้มีแพคเก็จในการเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่ไหนบ้าง และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เหล่านั้น ก็จะทราบมาตรการ กระบวนการต่างๆ ที่รัดกุมว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร
เพราะฉะนั้น เพื่อให้สบายใจ นอกจากกักตัวแล้ว ตรวจเลือดแล้วว่าสะอาดจริง ก็ยังมีการติดตามตัวอีก และสถานที่ที่จะไปก็มีเจ้าหน้าที่ที่พร้อมที่จะดูแล รู้วิธีปฏิบัติรัดกุม และนักท่องเที่ยวเหล่านี้ก็ยังคงต้องใส่หน้ากาก ล้างมือ และรักษาระยะห่างไว้เช่นกัน ไม่ใช่เข้ามาเรียบร้อยแล้วจะไม่ปฏิบัติตัวตามที่เคยปฏิบัติมาในประเทศไทยนะครับ”
ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **