“ถ้ามีจิตวิญญาณของความเป็นครู…มันย่อมระลึกถึงได้” เปิดใจ “หมอเดว” หลังสังคมตั้งถามถึงระบบการศึกษา ไร้การตรวจสอบ ไม่มีใบประกอบชีพครู สะท้อนมาตรการที่ถูกละเลย? ผู้เชี่ยวชาญชี้ใบประกอบวิชาชีพไม่ใช่หัวใจหลักสำคัญ ครูต้องมีจิตวิญญาณ-ปรับทัศนคติ!!
ไม่มีใบวิชาชีพครู เรื่องธรรมดาของอาชีพ!?
"ผมเองเป็นครูตั้งแต่ 18 ก็ไม่มีใบประกอบวิชาชีพด้วย" บทสนทนาข้างต้นเป็นบางช่วงบางตอนจากการให้สัมภาษณ์ของ “พิบูลย์ ยงค์กมล" ประธานอำนวยการโรงเรียนในเครือสารสาสน์ ทั้งหมด 49 สาขา
ที่ถูกพูดถึงอย่างมากบนโลกโซเชียลขณะนี้ กับเหตุการณ์ครูใจโหดในโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ ทำร้ายนักเรียนชั้นอนุบาล ซึ่งตรวจสอบพบว่าครูในโรงเรียนหลายคน ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู
โดยประธานอำนวยการโรงเรียนเปิดใจผ่านในรายการหนึ่งไว้ว่า ตนเองเป็นครูตั้งแต่อายุ 18 ปี ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูเช่นเดียวกัน แถมชี้แจงว่า การกระทำแบบนี้ไม่ผิดกฎหมาย เพราะไม่ได้เป็นครูแล้ว อีกทั้งคนที่ไม่มีใบประกอบอาชีพครู สามารถผ่อนผันได้
“จะให้คัดกรอง (บุคลากร) ยังไงล่ะครับ ในเมื่อกระทรวงเขาก็มีใบประกอบอาชีพ เราก็มีใบประกอบอาชีพ แต่ว่าคนไหนไม่มีเราก็ขอผ่อนผัน ทางกระทรวงก็อนุญาต แล้วจะให้ทำยังไง…”
ทันทีที่มีการแชร์ออกไป สังคมตั้งคำถามถึงการถูกละเลยการตรวจสอบจากระทรวงศึกษาธิการ อีกทั้งสะท้อนถึงระบบการศึกษาของโรงเรียนในประเทศไทย ที่บุคลากรทางการศึกษามองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
ขณะเดียวกัน "ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หนึ่งในผู้ติดตามปมที่เกิดขึ้น จนได้ใจผู้ปกครองเต็มๆ ระบุว่า โรงเรียนแห่งนี้ ไม่เหมาะจะสอนเด็กอนุบาล เพราะยังแก้ปัญหาไม่ตรงจุด
หลังจากที่ได้พูดคุยกับประธานอำนวยการโรงเรียนแล้วนั้น ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่กระทรวงศึกษาธิการ จะตัดสินใจทำอะไรลงไป แต่จะต้องคำนึงถึงในเรื่องของเด็ก ในส่วนเรื่องการเรียนของโรงเรียน ถ้าผู้ปกครองต้องการย้าย สามารถบอกทางกระทรวงศึกษาธิการได้ เพราะได้มีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว
“ท่านคงไม่อยากได้ผ่อนผันแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างท่านเป็นคนที่ประกาศให้คนประเทศรับทราบ ต้องขอบคุณท่านที่ประกาศความชัดเจน และวิธีคิด วิธีบริหารโรงเรียนของท่านออกมาให้สาธารณชน และกระทรวงศึกษาธิการได้รับทราบ ยิ่งจะเป็นข้อมูลตัดสินใจอะไรได้เร็วที่สุดค่ะ”
เพื่อความชัดเจนถึงประเด็นที่กำลังถกเถียงอยู่ตอนนี้ ทางทีมข่าวจึงได้ขอความรู้จาก “รศ.นพ. สุริยเดว ทรีปาตี” ผอ.ศูนย์คุณธรรมกุมารแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น และยังเป็นเจ้าของเพจบันทึกหมอเดว ที่ได้ออกมาเสนอกระทรวงกระทรวงศึกษาธิการ ให้ปิดชั้นเรียนอนุบาลชั่วคราว เนื่องจากระบบบริหารชั้นเรียนล้มเหลว
“การสร้างชาติบ้านเมือง คุณภาพพลเมือง ณ ขณะนี้ หัวใจสำคัญอยู่ที่ชั้นเรียนเด็กประถมวัยเลย เราจะได้คุณภาพพลเมืองอย่างไร มันอยู่ที่การลงทุนให้มีคุณภาพ ไม่ใช่ลงทุนด้วยเม็ดเงิน แต่มันเป็นการลงทุนด้วยกระบวนการ พัฒนาการของเขา ที่ให้ได้รับการดูแล ส่งเสริม พัฒนา และปกป้องคุ้มครองตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ถ้าเราไม่ทำในลักษณะนั้น ก็เท่ากับว่าเรากำลังทำร้าย ทำลายอนาคตของประเทศเราเองเลย ผ่านคุณภาพพลเมือง”
โดยมีการเปิดมุมมอง และวิเคราะห์ถึงประเด็นที่สังคมต่างให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ไว้ว่าการการไม่มีใบประกอบอาชีพครู ไม่ได้สะท้อนมาตรฐานโรงเรียนที่ถูกละเลยทั้งหมด
“การที่ครูทำร้ายหรือไม่ทำร้าย หมอไม่อยากจะโทษว่าทั้งหมดมันเกิดเพราะไม่มีใบประกอบวิชาชีพ เพราะหมอไม่ได้คิดว่าใบกระดาษใบหนึ่งมันเป็นใบวิเศษเท่าไหร่ แต่หัวจิตหัวใจสำคัญมันอยู่ที่จิตวิญญาณของความเป็นครู
คือ ถ้ามีจิตวิญญาณของความเป็นครู มีจิตสำนึกของความเป็นครู มันย่อมระลึกถึงได้ แต่ว่าวันนี้เราเป็นคนที่อารมณ์เสีย เราเป็นคนที่วันนี้อารมณ์เราไม่พร้อม มันก็ควรจะหยุดไหม แทนที่จะไปทำร้ายเด็ก และที่สำคัญที่หมอเสียใจ คือ หมอไม่ได้เสียใจที่ตัวครู หมอเสียใจระบบ เพราะว่าระบบมันกำลังสะท้อน
ถ้าดูที่โรงเรียนก็สะท้อนให้เห็นผู้อำนวยการโรงเรียน หรือผู้บริหารละเลย ไม่ได้สนใจเลยว่า ครูของเราเขาจบประถมวัย ครูพี่เลี้ยงไม่ได้จบ แต่เขาปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ที่ได้ให้นโยบายไว้ไหม เช่น นโยบายเรียนผ่านการเล่น เด็กเล็กๆ อย่าไปเร่งรัดการอ่านเขียน แล้วอย่าไปลงไม้ลงมือ ไม่ได้เป็นการลงโทษ เพราะเรามีวินัยเชิงบวกแล้ว”
โดยหมอเดว ได้เน้นย้ำถึงตัวระบบบริหาร ของผู้บริหาร จวบจนไปถึงระบบพัฒนาศักยภาพครูที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เพื่อให้ตรวจสอบได้
“หมอเน้นที่ตัวระบบบริหารจัดการความเสี่ยงระบบการรับครูเข้ามา ระบบพัฒนาศักยภาพครู ระบบรู้จักครูเป็นรายบุคคล
พวกนี้ต่างหากที่หมอจะเน้น ระบบการเรียนการสอน ระบบในการบริหารความเสี่ยง สำหรับโรงเรียนที่เกิดเหตุ มันประเมินไม่ได้ลงไปดูเลย แต่เหตุการณ์เกิดขึ้นมันสะท้อนให้เห็นว่าตกหมดทุกระบบเลย ใช้คำว่าระบบบริหารล้มเหลว แล้วมันจำเป็นต้องปิดเพื่อไตรแผนฟื้นฟู “
จุดอ่อนที่ต้องปรับ คือ ทัศนคติของผู้บริหาร!!
“ถ้าผู้นำ ผู้บริหารส่งสัญญาณในลักษณะนี้ ระบบมันยิ่งอ่อน หรือระบบมันยิ่งไม่เกิดเลย เพราะเท่ากับเรา ignore เราไม่สนใจ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยว่า อาจจะเกิดปรากฏการณ์ นี่น่าจะเป็นเหตุการณ์แรกของประเทศไทย…”
เมื่อถามผู้เชี่ยวชาญถึงกรณีผู้ก่อตั้งโรงเรียนดังกล่าว มองการไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว สำหรับเขาแล้วมองว่า สะท้อนให้เห็นการเพิกเฉยสิ่งที่เกิดขึ้น
“คือ ความทารุณกรรมที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา เราจะเห็นเคสต่อเคส รายต่อราย แต่ก่อนที่เราเห็นมัน มีความรุนแรงก็จริง แต่มันเกิดขึ้นจากครู 1 คน แล้วไปทำร้ายเด็ก 1 คนหรืออาจจะทำร้ายเด็กหลายคนก็ตาม แต่เป็นเพราะครูคนนี้ อันนี้มันลามไปจนถึงครูที่อยู่ในนั้นเอง ก็กลับเพิกเฉย ครูที่ข้ามห้องไปก็มีประพฤติปฏิบัติ ครูที่ข้ามชั้นไปก็มีวิธีปฏิบัติแบบนั้น
มันกลายเป็นเหตุการณ์ที่หมอใช้คำว่ามันเป็นประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง แล้วต้องบอกเลยว่าอันนี้มันเกิดขึ้น มันสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริหารขาดวิสัยทัศน์ และเมื่อขาดวิสัยทัศน์ก็ย่อมขาดทัศนคติในการที่ลงจะไปกำกับ ติดตาม ให้เกิดเป็นประสิทธิผล อันนี้ คือ จุดอ่อนของเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วมันยัง สะท้อนไปที่ระบบการศึกษาด้วย”
ถามว่าควรควรปฏิรูประบบการศึกษาใหม่ไหม หมอเดว ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเด็ก มองว่าจะต้องเพิ่มมาตรการการคัดแยกกลุ่มครู และมีการเน้นย้ำถึงทัศนคติของผู้ใหญ่มากขึ้น
“อยากจะให้ปรับทัศนคติของผู้ใหญ่ทุกคน ว่าการเรียนรู้ในชั้นเรียนอนุบาล มันเป็นการเรียนรู้ผ่านการเล่น อันที่ 2 อยากให้ช่วยปรับทัศนคติของผู้ใหญ่ทุกคน สำหรับเด็กเล็กๆ เลยว่าวินัยที่เรากำลังท่องๆ กันอยู่นั้น มันไม่ได้เป็นวินัยเชิงลงโทษ เลิกใช้คำว่าลงโทษกับเด็กอายุ 3-4 ขวบไหม
ให้ใช้วินัยเชิงบวก ไม่เข้าใจก็ไปหาวิธีการพัฒนาเอาก็แล้วกัน อันนี้คือข้อที่ 2 ที่ต้องปรับทัศนคติ เลิกท่องแบบลูปเก่าๆ ได้แล้ว อันที่ 3 ที่เป็นทัศนคติ คือ เด็กไม่ใช่ผ้าขาว แต่หมอไม่ได้บอกว่าเด็กไม่ใส บริสุทธิ์ เด็กใสบริสุทธิ์ แต่เด็กเขามีพื้นฐานอารมณ์ที่แตกต่างกัน
เพราะฉะนั้น เด็กบางคนเขาจะปรับตัวง่าย เด็กบางคนจะปรับตัวยาก ถ้าเรายังคิดแบบเดียวกันทั้งหมด เด็กจะบาดเจ็บครับ เพราะฉะนั้นเราจะเข้าใจศาสตร์และศิลป์ที่ใช้ในการจะดูแลเด็ก บนความรัก ความอบอุ่นเขา อันนี้ คือ ทัศนคติผู้ใหญ่รุ่นใหม่ๆ ที่ต้องปรับหมดเลย
ไม่เพียงแค่นั้น หมอเดวยังแนะอีกว่า ควรมีการปิดกิจการชั่วคราวโรงเรียนชั่วคราว เพื่อได้มีเวลาพัฒนาระบบพัฒนาครู อีกทั้งแนะต้องมีการประเมินสุขภาพวะทางจิตใจของผู้ปกครองอีกด้วย เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
“กรณีที่เป็นประเด็น หมอมีห่วงอยู่ 2-3 เรื่องเลย อันที่ 1 เลย คือ เนื่องจากกระแสมันมุมกว้างไปแล้ว ในตอนนี้มีวิธีเดียวที่จะหยุดเหตุการณ์ตอนนี้ได้ คือ เฉพาะที่ตรงจุดที่เกิดเหตุ ระดับอนุบาล เป็นข้อเสนอของหมอเอง คือ ควรจะปิดกิจการชั่วคราว
ไม่ใช่ปิดถาวร ปิดเพื่อไปพัฒนาระบบ ทั้งการรับครู ระบบการพัฒนาครู ระบบการเรียนการสอน ระบบบริหารความเสี่ยง ระบบในการดูแลช่วยเหลือเด็ก ระบบในการคัดแยกครู ระบบเฝ้าระวังนี้ทำกลไกนี้ให้เป็นแผนฟื้นฟูขึ้นมา และทำเป็นแผนปฏิบัติการ
แล้วเอาหน่วยงานกลางเข้ามา เพื่อทดสอบว่า เมื่อเราเริ่มเปิดขึ้นมาแล้ว มีคนนอกคอยช่วยกำกับติดตามอย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพ ซึ่งทางแผนอันนี้ดี ใช้ได้เต็มรูปธรรม ชัดเจนเลย ก็สามารถเปิดกิจการ และดำเนินการ กลไกติดตาม ประเมินผลกันไปเรื่อยๆ ก็จะสามารถเข้าสู่สถานะเดิมได้”
ล่าสุด พิสุทธิ์ ยงค์กมล ลูกผู้ก่อตั้งโรงเรียนสารสาสน์ พร้อมผู้บริหาร เข้าแจง ศธ. ปมครูทำร้ายเด็ก สรุปแนวทางแก้ไข เยียวยา 14 ข้อ พร้อมทั้งขอโทษทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เข้าใจกระแสที่รุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแค่นั้นออกมาแก้ต่างให้ผู้เป็นพ่อไว้ว่า ไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี พ่อสื่อสารผิด
“จากการสัมภาษณ์สื่อเมื่อวาน อาจจะมีการสื่อสารกันด้วยเสียง ด้วยเสียงมันไม่ชัดนัก บางทีท่านอาจจะพูดแล้วก็เข้าใจในเรื่องอะไรที่ทำความเข้าใจผิด ท่านไม่มีเจตนาอย่างที่หลายๆ ท่านเข้าใจกัน
ข่าวโดยที่มข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : FB "สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษาธิการ" "
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **