ส้มหยุด..แต่กระแสไม่หยุด!! เปิดใจ “เจ้าของตำนานส้มหยุด” เน็ตไอดอลชื่อดัง ซึ่งคนเล่นโซเชียลไม่มีใครไม่รู้จัก แต่กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เธอต้องผ่านการถูกบูลลี่สารพัดทั้ง “แก่-เน็ตไอดอลตลาดล่าง” เคยผิดหวังในความรัก จากการซื้อกิน เปย์เงินเป็นแสน แต่ไม่เจอรักแท้ และนี่เป็นบทสัมภาษณ์ที่ทำให้รู้ว่าผู้หญิงข้ามเพศคนนี้ ไม่ได้มีแค่มุมตลกโปกฮาไปวันๆ
“ตำนานเน็ตไอดอล” ฆ่าไม่ตาย!!
“ช่วงที่กระแสส้มหยุดดัง ชีวิตเปลี่ยนเลย จากที่เรากักตัวช่วงโควิด เราเตรียมกิจกรรม เริ่มสั่งของ เริ่มสั่งหญ้าเทียม เราเอาปุ๋ยเตรียมจะทำสวนหน้าบ้าน เริ่มทำมาได้นิดๆ หน่อยๆ แหว่งๆ อยู่ตอนนี้
เตรียมจะทาสีรั้ว จะซ่อมรั้ว เพราะบ้านเก่าเพิ่งย้ายมา 6 เดือนเอง เราก็เตรียมโปรเจกต์เอาไว้เยอะเลย ส้มหยุดดัง ไม่ได้หยุดเลยตอนนี้ ส้มหยุดแต่แบบฉันไม่ได้หยุดนะถึงมันจะมีเคอร์ฟิว…”
นาทีนี้ต้องยกให้!! เรียกได้ว่า “ส้มหยุด” กลายเป็นคอนเทนต์ และคำพูดฮิตๆ ที่คนหยิบมาทำวิดีโอโดยไม่มีอะไรกั้นมากที่สุดแล้วในตอนนี้ เพราะคนต่างพากันเลียนแบบเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นกับ “สิตางศุ์ บัวทอง”
ด้วยความมีเอกลักษณ์ เฉพาะตัว ทั้งลีลา จริตไม่เหมือนใคร ในชุดเดรสสีเหลืองยาวที่เธอบอกไว้ว่าได้ตัดเอง ที่นั่งอยู่ตรงหน้าผู้สัมภาษณ์ คือ สิตางศุ์ บัวทอง วัย 58 ปี เน็ตไอดอลคนดังนั่นเอง
“ฟังดูแล้วมันอยู่ตรงน้ำเสียง เสียงมันเหมือนดัดจริต มันเป็นเรื่องที่ฟังแล้วไม่น่าเชื่อ เหมือนเป็นเรื่องโกหก มานั่งแต่ง มันเลยกลายเป็นกระแสที่คลายเครียดได้ เป็นเรื่องโจ๊กที่ระดับประเทศที่เขาเล่นกัน และทำคลิปออกมาน่ารัก
เซเลบ ดารา นักร้องก็มาร่วมแจมสนุก เป็นเรื่องสร้างความบันเทิงในวงกว้างๆ ขึ้น ภายใน 3 สัปดาห์ กำลังสนุกแล้วเขาก็ทำคลิปเสียงขึ้น เป็นอีก 1 challenge ที่สนุกเลย”
โดยย้อนกลับไป “ตำนานส้มหยุด” เป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นกับเธอตอนอายุ 4 ขวบ ในบ้านที่เป็นคนจีน และหลังบ้านเป็นทางลาดพื้นไม้ เธอนั้นได้ถือส้มแล้วส้มได้กลิ้งไป เธอจึงสั่งให้หยุด และเดินตามไปดูส้มก็หยุด ซึ่งระหว่างนั้นพิธีกรได้ถามกลับไปว่า อะไรหยุด เธอได้ตอบกลับไปว่า ส้มหยุด หยุดโดยไม่มีอะไรกั้น
ส่งให้สิ่งที่ตอบไปนั้นกลายเป็นเรื่องเล่าชวนฮา และนำไป cover ต่อในแอปฯ TikTok ซึ่งก็มีคนในวงการบันเทิงจำนวนมาก ออกมา cover ตามจนทำให้เกิดกระแส #ตำนานส้มหยุด ในที่สุด
“ดูแล้วชอบสุดก็มีที่เอาขึ้นหน้าเฟซ มีของญาญ่าหญิง คือ เอาขึ้นหน้าเฟซอยู่คนเดียว เพราะเราชอบเขาส่วนตัวด้วย แล้วมีคนส่งมาให้ดู แบบได้เลย เพราะเขาไม่ได้แต่งหน้ามา cover เรา แต่เขา copy ลิปซิงก์ปากเป๊ะมาก แม้แต่อารมณ์ขยับปาก
อย่างดีเจนุ้ย แต่งหน้าเหมือนมาก เหมือนในแบบสวย คือ มีแต่คนแต่งหน้าจะเวอร์ชันตลก ดีเจนุ้ยฉีกมาเลย ฉีกเป็นหน้าสิตางศุ์นี่แหละ แต่เวอร์ชันน่ารัก ดูแล้วเมกโอเวอร์ตัวนั้น มันน่าจะใช้ effect แต่งด้วย คือ ดูแล้วน่าจะแต่งเป็นชั่วโมง เก่งๆ ในเวอร์ชันสวย”
ถามไปว่าช่วงไวรัสโควิด-19 สำหรับเธอส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง รวมทั้งการที่กลับมีกระแสอีกครั้ง ทำให้กอบโกยเงินที่สูญเสียไปหรือไม่ สำหรับเธอนั้น “ค่าตัวลดราคา” เธอเอ่ยขึ้น
“ค่าตัวก็หลายหมื่น ถ้าในไทย ก็ครึ่งแสน รายได้เรา คือ มันก็เยอะขึ้นในช่วงโควิด แต่รายได้ช่วงก่อนๆ เราก็เยอะมาก่อนแล้ว กระแสเรามันหลายอย่าง
ช่วงโควิด คือ ค่าตัวลดราคานะ ช่วงรายได้จากเมษาถึงพฤษภา พอเราหักค่าลูกน้อง ค่าทีมงานแล้ว เราไม่เอาเงินมาเก็บ แต่เราเอาเงินไปซื้อเป็นของร่วมบริจาค ช่วยเอาของไปแจก
ตอนนี้ก็ร่วมกับ แม่อุ๊บ วิริยะ (พงษ์อาจหาญ) ของตัวเองก็เอาปลาร้าทรงเครื่องที่เราขาย ก็เอาไปโรงพยาบาล คือ เอาไปให้ไว้ ไม่ได้ทำข่าว แต่นักข่าวเขามาถาม รายได้ช่วงเมษา พฤษภา รีวิวก็ไม่ได้ค่าตัวเต็ม ไม่จำเป็น ทุกคนจะเป็นหนึ่งในผู้บริจาคช่วยเหลือพวกคนจนตามชุมชน
ค่าตัวตอนนี้มันไม่เพิ่ม มาดังช่วงโควิด ช่วงนี้ค่าตัวลดลง เพราะเงินเราไม่ได้เก็บไว้ เงินรายได้เราให้บริจาคหมด
เพราะเราแจกตามชุมชน ไปลงตามชุมชนสามเสน เพราะไปแจกบางกะปิมาแล้ว 2 ครั้ง ตอนนี้ชุมชนก็ส่งมาหลายที่
ช่วงนี้เรื่องค่าตัวก็เลยไม่ได้ซีเรียส ยังไม่ปกติจนจบเดือนพฤษภา ถ้าจ้างงานหลังเดือนพฤษภาคม ค่าตัวก็บวกขึ้นเป็นปกติ
ค่าตัวเราก็ระดับเดิมๆ แล้วทุกคนก็รู้ เพราะส่วนมากวงการพวกนี้จะถึงกันหมด เขาเคยจ้างเราตอนแรง ช่วงสะบัดต่อ ราคาเราก็จะประมาณนั้น เราไม่เคยได้ เราทำเพื่อการกุศลช่วงนี้ คือ ติดต่องานส่วนตัว แต่ฉันคิดเป็นการกุศล คือ ฉันลงชื่อ ลงยอดหมด
หลัง 2 เดือนฉันก็จะมาสรุปยอด ว่าใครจ้างงานช่วงนี้ถือว่าเป็นผู้ร่วมบริจาค ค่าตัวก็แล้วแต่คนเข้ามา ช่วงนี้ไม่เครียดนะคะ คือ ไม่จำเป็นต้องมารวยช่วงโควิดหรอก เพราะเราไม่ได้เดือดร้อนอะไร เรามีผลกระทบเล็กน้อย
แต่ช่วงที่เราเตรียมล้างมือ ปรากฏว่า งานแสดง งาน Event ไม่มี คือ กองถ่ายปิด รวมกองถ่ายหนังถ่ายอะไรไม่ได้ งานเราหยุดแน่นอน แต่เราเป็นคนที่เตรียมมองถึงวันข้างหน้า เราขายของทุกครั้งที่รีวิว เราจะรับ order ต่อเนื่อง”
แม้ช่วงโรคไวรัสระบาดนี้ เธอไม่ได้เพียงนำค่าตัวส่วนตัวไปช่วยคนที่เดือดร้อน แต่เธอกลับเตรียมความพร้อมถึงวันข้างหน้า ในเส้นทางการเป็น “เน็ตไอดอล” นี้ด้วย ซึ่งใครจะรู้ล่ะว่าเธอเป็นเจ้าของวลี “สะบัดต่อไม่รอแล้วนะ” ที่ก่อนหน้านี้ สร้างความฮือฮาจนคลิปไวรัลดัง คนดูทะลุ 9 ล้านวิวมาแล้ว
“คือ คนที่รับรีวิว รับ order มันจะดู Low class ฉันก็เลยโดนจัดเกรดเป็นเน็ตไอดอลตลาดล่าง ที่เป็นแค่แม่ค้าออนไลน์ ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะฉันรับ order ด้วย
การรับงานเป็นพรีเซนเตอร์หนึ่งแบรนด์ ส่วนมากเขาจะบอก ขอกันเป็นเดือน แบบรับแป้งอย่างนี้ 3 เดือนนะ เขาก็จะส่งมา แต่เรามานั่งรับ order แพ็กของด้วย เหมือนเป็นอีกหนึ่งตัวแทน อันนี้มันเป็นเกรดต่ำ
คือ เขาก็จะเหยียดกันเองโดยที่เขาไม่รู้ตัว ฉันก็เลยพยายามที่จะบอกว่าไม่ว่าจะเป็นเน็ตไอดอล เป็นดารา เป็นแม่ค้า แล้วก็เป็นอาชีพที่เราไม่ต้องไปรอน้ำบ่อหน้า การเป็นแม่ค้าออนไลน์ เราต้องจ่ายค่าเน็ตอยู่แล้ว เราก็เลยรับ order มาแล้วหักเปอร์เซ็นต์ไว้ แล้วเดี๋ยวจัดส่งเอง คือ ระบบที่จะทำแบบนั้นตลอด
เรารีวิวสบู่ เราได้ค่ารีวิว เราก็จะรับด้วย เป็นการดันสินค้าให้เขาด้วย เจ้าของแบรนด์เขาก็โอเค แต่คนทั่วไปเขามอง คือ ในระดับเน็ตไอดอลมันก็จะดูไม่ดี ไม่รู้สิฉันเป็นคนชอบขายของ และฉันไม่ดูว่าอะไรต่ำอะไรสูงหรอก ฉันไม่เคยดู
การเป็นเน็ตไอดอล ไม่จำเป็นต้องไปทำคลิปกระทืบแมว ตีหมาให้ดังนะ คือ ทำดีก็ดังได้ อย่างเด็กล้างวัดก็ยังดัง น่ารักด้วย ล้างวัดช่วยขนของ หรือว่าช่วงนี้การเป็นเน็ตไอดอลไม่ใช่การทำตัวบ้าๆ บอๆ แล้วดัง การทำดีก็ได้
ตอนนี้คนที่เป็นจิตอาสา ถ้ามีเป็นเด็กๆ เป็นวัยรุ่น คนจะติดตามเยอะจริงๆ ในกิจกรรมที่เราช่วยเหลือสังคม”
“ฉันตัวคนเดียว…ที่โดนบูลลี่”
“ฉัน 58 ปี ฉันบั้นปลายชีวิตของคนวัยที่ใกล้เกษียณ ฉันก็เตรียมจะเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ เราไม่สนใจ คือ ขอโทษทีนะคะ ที่ไม่ได้มีผลกับความรู้สึกฉันเลย เรื่องบ้าบอ ถ้าอยากสวยไปทำฟรีก็ได้
ถึงบอกเวลาตอบคำถาม ต้องเปิดกะลาออกก่อนนะ คนที่มาอ่านบทสัมภาษณ์อะไรของฉัน เปิดกะลาออกสักนิดนึง เพราะถ้ามึงคิดอะไรอยู่ในกะลาครอบ มึงก็ไม่ทัน เดี๋ยวก็หาว่าอีนี่แต่งเรื่องเก่ง”
ด้วยรูปร่าง หน้าตาที่ไม่เหมือนใคร แม้ส่วนหนึ่งมองว่ามีเอกลักษณ์ โดดเด่น แต่อีกด้านกลับของเธอถูกตัดสินไม่ให้เกียรติ และโดนเอาไม้บรรทัดของใครก็ไม่รู้มาบอกว่า “แบบนี้คือเน็ตไอดอลตลาดล่าง” “แบบนี้คือไม่สวย”
“ฉันไม่รู้สึกว่าฉันเป็นตลาดล่าง ตลาดบนอะไร ปัญญาอ่อน แต่ฉันหาเงิน ฉันทำให้ภาษาไทยทำให้เป็นที่ cover ต่างประเทศ โดยที่ฉันตัวคนเดียว โดยที่โดนเพจเลวๆ คอยจะบูลลี่ …
เวลาฉันพูดก็จะมีกระแสว่าอีบ้า เพราะคนพวกนี้รู้เลยกำพืดมันมาจากไหน ถ้าคนเห็นอีบ้าพวกนี้ด่าฉัน แล้วไปด่าตาม ก็รู้เลย ฉันก็เลยไม่ได้สนใจคนพวกนี้ มันไม่มีค่า แต่แค่สะบัดต่อไม่รอแล้วนะ ชาวบ้านพม่าพูดได้ เขมรพูดได้ ลาวพูดได้ พยายามที่จะพูดให้ได้ ฟิลิปปินส์พูดได้
แค่ฉันถามมา ฉันตอบไป คนฟิลิปปินส์เขารักฉัน ไม่อย่างนั้นไม่แหกขี้ตา เขาไม่ได้มีโปรโมชัน ฉันไม่ได้ไปในนามช่อง ฉันไม่ได้ไปนามบริษัท
ฉันเป็นเน็ตไอดอลตลาดล่าง ที่โดนคนในประเทศไทยด่าเรื่องไม่สวย แต่ต่างประเทศเอาคำภาษาไทย แค่สะบัดต่อไปพูด ต้นตระกูลคนที่มาด่าฉัน เคยทำได้ไหม
พอเราพูดอย่างนี้ไป มันจะมาเผยแพร่ความต่ำหยาบคาย แล้วถ้าใครไม่เห็นด้วย ฉันก็ถือว่าคุณศีลไม่ได้เสมอฉัน ฉันไม่ได้แคร์ใคร เพราะฉันอยู่บ้านนอกของฉันอยู่เฉยๆ และเสื้อผ้าของฉันก็เย็บใส่เอง เย็บมือ เพราะเมื่อก่อนไม่ได้มีเงินซื้อ ก็ไม่เคยอายใคร
ฉันไปรายการเจ๊บุ๋ม (ปนัดดา วงศ์ผู้ดี) ก็กลับตะเข็บให้ดู ว่า ฉันเอาผ้าเก่ามาเย็บออกรายการ การที่เรา open อย่างนี้ เราเลยโดนเหยียบย่ำจากสังคมไทย น่าเกลียดไหมล่ะ ถึงจะมีน้ำตา แต่ฉันไม่เคยก้มหัวให้กับคนพวกนี้”
กว่าจะมาคิดได้ว่า “ฉันจะไม่แคร์” เจ้าของตำนานส้มหยุดคนนี้ ก็เคยผ่านจุดยากลำบากของชีวิตมาก่อน เพราะการบูลลี่ สนุกปากของคนที่มีความคิดลบๆ
“เมื่อก่อนเป็นเด็กเรียบร้อย โดนเลี้ยงอยู่ในห้อง เป็นกะเทยที่แอบฝันว่าจะเป็นองค์หญิงตัวน้อยๆ แล้วฉันก็โดนแกล้ง โดนอะไรตั้งเยอะ แต่ฉันไม่ได้ออกสาวนะ
หลังที่ฉันออกมาช่วยงานแม่ แม่เขาก็กลัวเพราะเขาเลี้ยงเรา เรื่องสกปรกไม่เคยเห็นเลย เขาไม่ให้เราเห็นเลย เขาเลี้ยงเรามาอย่างดี พอเรามาเจอคนโกหก หน้าไหว้หลังหลอก เพื่ออะไร เพื่อที่ให้พวกมึงดูดีอย่างนี้เหรอ เราถูกด่าเพราะอะไร
ถ้าคนมีสมองคิดจริงๆ ฉันถูกด่าเพราะอะไร เพราะฉันด่าเธอเหรอ มาด่าฉันอีแก่ ฉัน 58 แล้ว พอฉันถามกลับพวกมึงไม่ได้ศัลยกรรม นี่ไม่ได้ศัลยกรรมนะ ทั้งๆ ที่มีโอกาสที่จะศัลยกรรม ไม่ต้องมาด่าเรื่องสวย ถ้าฉันแคร์สวย ห่วงสวย กลัวไม่สวย ฉันไม่ปล่อยตัวเองอย่างนี้หรอก
คือ คนเราสวยก็สำคัญ ทุกคนบอกศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิต บางคนก็เปลี่ยนลงนรกเหมือนกัน ไม่ใช่ศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิตทางที่ดี
เรื่องด่าเรื่องความสวยคนถามกันเยอะ ไม่รู้สึกอะไรเหรอ ก็รู้สึก รู้สึกว่าคนพวกนี้น่าจะอยู่ห่างๆ และรู้สึกว่าก็ดีนะ ที่มันคอมเมนต์ด่าเลย คือ ทุกครั้งที่ว่าแต่เราไม่ว่า จะไปเอาชนะใคร ชนะก็ไม่เห็นได้โล่เหนื่อยเปล่าๆ เราก็เลยไม่ได้แคร์คนพวกนี้
ตอนนี้ก็พยายามจะบูลลี่ ข่าวติดยา ข่าวขายยา ข่าวอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ข่าวร้ายๆ มี 3 ผัว ดังแล้วก็ทิ้ง ข่าวแบบนี้มีเยอะ ผู้ใหญ่บางคนก็เชื่อ เพราะเราเป็นคนไม่ออกมาปฏิเสธข่าว ไม่จำเป็น เสียเวลา ฉันเอาเวลาไปนอนจูบกับลูกหมาฉัน แฮปปี้กว่า
กลับบ้านก็ไม่ว่างแล้ว กลับบ้านลูกหมาเขาก็มารุม มาอ้อนแม่ ก็ไม่มีเวลาคิดเรื่องพวกไร้สาระชั้นต่ำพวกนั้นหรอก ใครอยากจะด่าอะไรก็ด่าไปเถอะ เพราะผลสุดท้ายก็ต้องขอบคุณที่มาดูถูกกัน เพราะเราไม่มีเวลาไปต่อล้อต่อเถียง”
ทว่า เมื่อถาม หากย้อนมองที่ตัวเอง อะไรที่เป็นเสน่ห์ หรือจุดที่สวยงามที่สุด เธอคนนี้ได้ให้คำตอบเอาไว้ว่าเป็นคนในวัย 58 ปี ที่ดูแลตัวเอง
“เพราะว่าเราเป็นคนแปลกตา แล้วหุ่นเราก็พอดี ไม่ย้วยไม่เผละ เรา 58 แล้ว คือ งานทูพีชก็มี งานบิกินี สายเดี่ยววิ่งก็มี งานมาเลเซีย งานต่างประเทศ คือ เราก็แสดงศักยภาพฝั่งไทยแลนด์ สั่งอะไรมาฉันทำได้หมด แล้วเขาก็โอเค very good ด้วย”
นอกจากนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าด้วยลุค และความตรงไปตรงมาของเธอ จะตามมาด้วยการถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอลุกขึ้นสู้กับการดูถูกนั้น คือ “ความรักของแฟนคลับ”
“แฟนคลับคนที่เคยสัมผัสกับเรา ก็เข้าไปรุมด่า กลายเป็นกระแสเราก็ขึ้นมาอีก จากคำดูถูกเยอะแยะ กลายเป็นว่าคนช่วยเรา มาปกป้องเรา เหมือนเราเป็นองค์หญิงตัวน้อยๆ แบบที่เราฝันจริงๆ ไปที่ไหนเขาก็จะมาปกป้องว่า คุณแม่อย่าเสียใจนะ
คือ ที่เราร้องไห้ ไม่ได้ร้องไห้ถูกด่านะ เราร้องไห้เพราะคนเข้ามาปลอบนี่แหละ อ่านคอมเมนต์แล้วแบบแน่นอกเลย เพราะคนที่มันรักเรา
ฉันร้องไห้กับเรื่องที่มันซาบซึ้ง ฉันไม่ได้ร้องไห้กับเรื่องที่ฉันเสียใจ เพราะฉันเสียใจมาเยอะแล้ว ที่พูดแล้วฉันร้องไห้ เพราะมันมาจากความปลาบปลื้มที่คนรักฉันตั้งเยอะ แต่คนเกลียดฉันนิดเดียวเอง unfollow 5,000 เด้งกลับมา 2 แสน 5 หมื่นคน
ฉันหนีเฟซบุ๊ก ความจริงเขาบอกฉันดังมาก แต่ยอด follow ในเฟซบุ๊กไม่ถึงล้าน เพราะฉันหนีมา 5 เฟซ โดยที่ฉันไม่ได้ต่อรองอะไรกับใคร แต่ตอนนี้มันเริ่มมากไป มันลุกลาม ฉันก็เลยเริ่มออกมาพูด ออกมาตอบโต้บ้าง แบบหัดฟังบ้างกูเป็นโจ๊กเกอร์ได้ แต่เรื่องจริงกับชีวิตกูไม่ได้เป็นตัวตลก และฉันเป็นคนเอาจริง”
ไม่แต่งหญิง เพราะรักแม่!!
จากที่อาของเธอเล่าว่า เธอเริ่มออกอาการเป็นเพศทางเลือก ตั้งแต่เด็ก ซึ่งทางครอบครัวก็รับรู้ แต่ตอนนั้นแม่สิตางศุ์ยังไม่สามารถเปิดเผยตัว และออกอาการที่ชัดเจนได้ ซึ่งกว่าจะเริ่มทำตามหัวใจตัวเองได้นั้น เธอคนนี้ก็เข้าเลข 4 ไปแล้ว
“คนที่บ้านเล่า อาเขาเอามาเลี้ยง เขาก็บอกพอเดินได้ก็จะใส่รองเท้าส้นสูงข้างนึง กระโปรงก็จะใส่ ตอนนั้นจำความไม่ได้นะ เพราะว่าอาเขาเล่า คือ ที่บ้านเป็นครอบครัวใหญ่ กินข้าวรวมกันตอนค่ำ เขาก็จะเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ แม่ก็จะเล่าบ้าง เขาก็จะเล่าเรื่องปากต่อปาก เรื่องโดนงูรัด เรื่องการเดิน
ตั้งแต่เด็กๆ แล้วพอโตมาเรานิ่งเลย นั่งนิ่งๆ เพราะเราเกรงใจแม่เรา แล้วเราเป็นเด็กใส่แว่นด้วย ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นตุ๊ดใส่แว่นตอนเรียนทำไม…
เราไม่แต่งมา 40 กว่าปี ไม่ได้ทนนะ คือ เป็นคนรักแม่ ก็เลยเข้าใจลูกหมา เราจะเข้าใจเจ้าน้ำตาลเวลามันติดฉัน เข้าห้องน้ำก็ไม่ให้ละสายตาเลย ต้องเข้าไปด้วย เหมือนเรารอแม่ เขาทำงานเยอะ
แล้วแม่เขาเป็นคนจีน เราก็รู้สังคมคนจีน เราแต้จิ๋ว แซ่ตั้ง แล้วเวลารวมญาติ เขาก็แข่งกัน แม้แต่ของไหว้เวลาไปเช็งเม้ง แม่ลูกเมียน้อย ของลื้อต้องวางห่างๆ เลย”
ท่ามกลางการเติบโตมาในสังคมคนจีน ทำให้แม่สิตางศุ์ที่เรารู้จัก ยอมสละความเป็นตัวเอง เพราะเธอคิดว่าการยอมรับในตอนนั้น อาจจะสร้างความลำบากใจให้แม่ของเธอเอง
“เราไม่ได้รู้สึกอะไรนะ แต่เราก็อยากเป็นผู้หญิง แต่ถ้าเราเป็นผู้หญิงแล้วแม่อายญาติ อายคนอื่นไม่เท่าไหร่ แต่ญาติตระกูลพี่น้องคนจีน คือ ในระบบกงสีนี้เขาคล้ายกัน ลูกเมียน้อยเมียหลวงเยอะ
คือ ถ้าเราจะต้องทำให้แม่อาย เพื่ออะไร ฉันทำไม่มีความสุขนะ แล้วนิสัยพื้นฐานเรา คือ เราหิวก็ได้ เราเหนื่อยอะไรก็ได้ แต่ถ้าคนในบ้านเรามีความสุข แล้วเรามีความสุข เราเป็นแบบนี้
อย่างกลับมาเหนื่อยๆ ลูกหมาเขารอแม่มาป้อน ตัวเล็กน้ำตาล คือ กินข้าว 2 คำ แต่ลูกหมามันรอเรา ป้อนลูกหมาเสร็จ เราอิ่มเลย เราอิ่มพร้อมลูกหมา ทั้งๆ ที่เราเพิ่งกินข้าวไป 2 คำ บางทีลืม กินเสร็จก็ไปนอนเล่นกันต่อ คือ พอคนรอบๆ ข้าง ในครอบครัวมีความสุข ฉันก็มีความสุข แค่นั้นเอง
ไม่เพียงแค่นั้น หากย้อนกลับไป เธอยังย้ำว่า การที่ไม่ยอมเปิดเผยเพศสภาพในตอนนั้น ไม่ใช่เรื่องหนักหนาของชีวิต เพราะเธอยังคงใช้ชีวิตตามปกติทั่วไป ซึ่งเรียกได้ว่าตอนนั้นเป็น “จิ๊กโก๋ ท้าต่อยคนไปทั่ว”
“ปวดเยี่ยวตรงไหน เยี่ยวตรงนั้นเลย ปวดเยี่ยวบนรถตู้ ก็เอาขวดมาเยี่ยวเลย เป็นผู้ชายก็ดี ไปไหนก็ถอดเสื้อผ้า แก้เลย ไม่ต้องมานั่งกาด ไม่ต้องมาเตรียมเครื่องใน ไม่ต้องมาฉีดน้ำหอม
เราก็สบาย เราก็ชอบ ที่เราสิวหน้าปุ เพราะตอนเราเป็นผู้ชายเราก็บีบเลย เอาเข็มจิ้มเค้นเอามันออกมาทุกวัน เพราะเราเป็นผู้ชายไง ไม่ต้องไปแคร์อะไร
เราเป็นหัวหน้าแก๊ง แผลเต็มเลย นี่ศิริราชเย็บทั้งนั้น คือ แม่ไปรับตัวศิริราช แถวฝั่งธนเขารู้อยู่ ที่บ้านรับเหมาก่อสร้าง เราคุมงานอยู่แล้ว เวลาไปเที่ยวมันหาเรื่องก็ล่อกับมันเลย แต่เพื่อนมันชอบวิ่ง เลยโดนกระทืบบ่อย เพราะเราไม่วิ่ง
ตอนนั้นก็แมน ผู้หญิงก็จีบ เพื่อนพี่สาวก็มานั่งจีบซื้อนมมาให้ที่บ้าน ช่วงเพิ่งเรียนจบก็มีผู้หญิงให้แลกเพจ ฉันมีผู้หญิงเป็นสปอนเซอร์”
เรียกได้คนแกร่ง ที่ไม่ยอมก้มหัวต่อโชคชะตาคนนี้ กลับมองตัวเองว่าเป็นคนชีวิตเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เพราะชีวิตต้องย้ายบ้านตลอด แถมยังต้องเจอปัญหาพ่อแม่แยกทางกัน
“ย้ายบ้านตลอด คือ ใครจะชีวิตมั่นคงอยู่บ้านหลังเดียว ตั้งแต่เด็กก็เรื่องของเธอ แต่ถ้าเธอมาถามชีวิตฉัน ต้องฟังกันให้ทัน..
คนอื่นเกิดมาเรียนจบมีครอบครัวเลี้ยงลูก อยู่บ้านหลังเดิม แต่ชีวิตฉันไม่เป็นอย่างนั้น เป็นหนึ่งในล้านคน ชีวิตเราเดี๋ยวพ่อย้ายค่าย พ่อเลิกกับแม่ พ่อก็ไปโคราช 2 ปี ฉันไปเรียนกลางเทอม เรียน ป.7 มศ.5 ประถม 3 เทอม เทอมต้น เทอมกลาง เทอมปลาย
ฉันไปเข้าโรงเรียนเทอม 2 แต่เราเป็นเด็กเรียนเก่ง พอพ่อย้ายค่ายแม่ไปเอาตัวกลับมา มาอยู่โรงเรียนวัดทองเพลง ตรงเส้นซอยราษฎร์ร่วมเจริญ ตรงเจริญนคร ออกวงเวียนใหญ่”
อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนของชีวิต เกิดขึ้นเมื่อได้ไปใช้ชีวิตข้างนอก หลังจากแม่ของเธอเสีย และนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนทิศของชีวิต ต้องต่อสู้กับโลกภายนอกอย่างแท้จริง
“เราเกรงใจแม่เรา เราไม่สนใจสังคมหรอก สังคมไม่ได้หาอะไรให้ฉันกิน ฉันไม่ได้แคร์สังคมนะ ที่ฉันดังเพราะฉันไปอยู่บ้านนอก ฉันเอาเสื้อผ้าเก่าๆ ผัวมาตัดเป็นชุดแซกสั้นเสมอหู เห็นง่าม
คือ ฉันก็โดนเกลียดชังจากแม่ผัว เพราะผัวฉันเป็นลูกคนที่สิบ แต่คนในหมู่บ้าน ญาติๆ เขาก็ชอบ ฉันก็ไม่ได้อายใครนะ ฉันก็เย็บมือแล้วก็สวย
หน้าดำๆ แต่เราไม่ได้สูญเสียความเป็นตัวเอง ตอนนั้นยังไม่ดัง แล้วตอนเด็กแล้ว ฉันต้องมาลดความเป็นตัวเองเพื่ออะไรเหรอ ฉันไม่ลดนะ เพราะฉันไม่ได้ไปเดือดร้อนใคร พวกเธอต่างหากที่มาสร้างความเดือดร้อนให้ฉัน ชีวิตฉันอยู่สงบ 2 คนผัวเมีย ฉันก็ไม่ได้อวดรวย ไม่ได้มีอะไรจะอวด ความรวยฉันไมได้มี”
รักแท้ใน “สายเปย์” ไม่มีอยู่จริง!!
“ตั้งแต่ช่วยงานแม่ ตอดลูกน้องแม่ในบ้านนั่นแหละ คนงานเยอะแยะหล่อๆ ล่ำๆ แต่เราก็ไม่ได้ออกสาวไง เพราะเราก็คุมงานก็มีเงินส่วนแบ่ง แม่เขาจะเป็นคนแบ่งให้ เราก็เป็นคนทำสัญญา แล้วเราก็อยู่หน้างาน
เราชอบไปงานฐานราก ตอกเสาเข็มเสร็จปุ๊บ มันก็จะเริ่มเทคานคอดิน เราก็ไปจะอยู่งานฐานราก เพราะทำ 24 ชม. พอเราขึ้นเสาชั้น 2 ก็ปล่อยแล้วให้น้องชายไปดู แต่เราจะไปช่วงบุกเบิก
เราก็มั่วๆ ไม่มีมดลูก เราไม่ได้แต่งหญิงไง คือ เราก็เป็นเหมือนเกย์ เราเหมือนผู้ชายด้วยนะ เรายิ่งกว่าผู้ชายอีก ฉันไปจีบผู้ชายมันหาว่าฉันไปหาเรื่องมัน”
สำหรับเส้นทางความรักของแม่สิตางศุ์ ที่เล่าผ่านประสบการณ์ชีวิตแซ่บๆ ให้ฟังอีกว่า กว่าจะมาเจอรักแท้ที่ครบหามา 13 ปี เคยผ่านความรักที่ต้องใช้เงินแลก และพบความรักที่เจ็บปวดมาแล้ว
“คือ เราเป็นคนแบบไม่ได้คิดอะไร อยากได้ก็ซื้อ ซื้อได้ก็ดี ฉันชอบคนที่ซื้อได้ด้วย เพราะฉันจะฟาดหัวมันจริงๆ ตอนนั้นฉันเป็นคนอย่างนั้น ซื้อเสร็จ 3 เดือน ฉันก็เบื่อ ข้ออ้างเยอะ คือ ตอนนั้นก็มั่วไปทั่ว
เวลาใครด่าอี 100K ไม่สะเทือน เพราะความจริง 365 วันมันเกินนะ มันมีรอบเช้า รอบค่ำด้วย สมัยก่อนเราเป็นคนที่มีโอกาส เราเป็นคนนิสัยแบบนี้ ไม่ได้คิดอะไร
เราเป็นคนไม่ได้เสียดายเงิน เราให้เลย เป็นแสนยังเคยให้เลย อยากได้อะไรซื้อให้หมด ก็ซื้อเต็มเลยก็ให้เป็นแสน คือ มีให้หมดเลย ฉันไม่ได้ซีเรียสอะไร คือ เป็นคนไม่เก็บเงินอยู่แล้ว
คือ มีก็ซื้อนู่นซื้อนี่ให้ลูกหมาหมด แฟนก็รู้ว่าสมบัติก็จะเป็นลูกหมาที่มีสมบัติ มาริโอ้กับน้ำตาล เราคุยกันแล้ว ฉันตกลงกับแฟนฉันแล้ว เขามีลูกหมาที่มีสมบัติทั้งหมด เราจะทำพินัยกรรมให้เขา 2 ตัว”
แน่นอนว่า การไม่ใช่รักแท้ของกันและกัน ต้องตามมาด้วยกับความรักที่เจ็บปวด ซึ่งเธอเคยผ่านสนามรักเจ็บๆ แบบนี้มาแล้ว โดยเหตุผลคือ “เขาอยากมีลูก”
“นอนดิ้นกลางถนนเลย ไม่กินอะไรเป็นปี เอวเหลือ 23 เรียกว่าเมายันติดเฮโรอีนเลย เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยเล่าให้ใครฟัง ว่าเป็นช่วงชีวิตที่ฉันนึกว่าฉันตายไปแล้ว
แต่ฉันไม่ได้ฉีดผมนะ ฉันอยากทำ ฉันดัดเอา เพราะความที่ฉันรู้สึกไม่มีอะไรบรรเทาได้ ว่าฉันเกิดมาทำไม เราเริ่มเรียกร้องแล้ว พอเรารู้สึกว่าเราอยากได้ผู้ชายคนนี้ แต่เราใช้เงินซื้อเขามาแล้วนะ เราชนะเขาไม่ได้สักที โดยที่เขาไม่ได้หลอกเรา
เขาพูดกับเราตรงๆ ซึ่งการพูดตรงๆ มันแทบกระอัก ที่เขาบอกว่าเขาอยากมีลูก คือ เขาก็บอกเราตั้งแต่แรก ว่าไม่ได้รักตัวเองแบบผู้หญิงผู้ชายนะ แต่ตัวเองเครดิตดีเขาเลยมาอยู่
แต่เขาสัญญาว่าจะไม่มีเมีย แล้วบอกเราเลยว่าเขาไม่ได้มองว่าเราเป็นผู้หญิง แต่เขามาแลกเปลี่ยนเรื่องผลประโยชน์ ฉันกระอักเลยตอนนั้น มันเรียกว่าอกหักรึเปล่าไม่รู้ แต่เขาก็ยังอยู่กับเรา จนฉันไม่ไหวบอกให้ไปจากบ้านฉันเถอะนะ
แล้วฉันก็เริ่มเฮิร์ต เริ่มอ้วก พี่สาวเดือดร้อน เมื่อก่อนฉันเป็นคนบอบบางมาก ฉันด่ายังไม่เป็นเลย คือ เวลามีใครด่า ทำไมต้องพูดคำด่ากัน จนเรารู้สึกว่าพี่สาวเขาห่วงมากเลยนะเมื่อก่อน จนตอนหลังเราร้ายไปเลย”
ความรักในอดีต และประสบการณ์ที่ได้รับ ทำให้แม่สิตางศุ์กลายเป็นคนแข็งแกร่ง และมองโลกในความเป็นจริง ว่า ถ้าเขาไม่รัก ก็คือไม่รัก โดยผ่านบทเรียนนี้ด้วยการเข้าทางธรรม
“เราเริ่มคิดได้ แล้วมีคนแนะนำว่าเราไปที่เงียบๆ ไหม เราเริ่มไปวัดปฏิบัติธรรม ก็รู้สึกว่าเงียบดี พอจิตมันเริ่มนิ่ง ตอนนั้นก็เริ่มสวดมนต์เป็นเรื่องเป็นราว เริ่มสวด เริ่มนั่งปฏิบัติธรรม ทีนี้จิตมันเริ่มนิ่ง
มันก็เริ่มเห็นพฤติกรรมตัวเองไง ว่าโง่จริง ไปนอนร้องดิ้น วิ่งกลางถนน กินเหล้า แล้วเพื่อนรับไม่ได้ กินเหล้าวันเกิดเพื่อนกินเหล้าอยู่ดีๆ แล้วหลุด หลุดไปวิ่ง แบบเขาไม่รักกู เพื่อนเขาตื่นมาบอกว่ารู้ตัวไหม เมื่อคืนทำอะไร พวกกูรับไมได้ มึงร้องไห้กลางสายฝนเลย
คือ เราแคร์คนรอบข้าง เพื่อนร้องไห้ ตอนที่ฉันเฮิร์ตมากๆ ที่ฉันเฟล เพื่อนรุ่นน้องบอกไม่ได้นะ ถ้าเธอจะอ่อนแอ แล้วพวกฉันล่ะ ฉันเป็นที่หวัง เพราะฉันไม่เคยอ่อนแอ
เวลาพูดถึงบางเรื่อง แล้วฉันไม่พูดถึง บางเรื่องพูดถึงน้ำตาฉันไหลออกมาเอง เพราะยากยิ่งกว่าเรื่องโดนด่า โดนบูลลี่ ฉันผ่านในจุดที่ฉันไม่ดัง กว่าที่ฉันจะก้าวผ่านแต่ละเรื่อง เพราะฉันต้องเป็นผู้ชายคนโตของแม่ ที่เป็นคนจีน
ฉันอธิบายไม่ถูกหรอก แต่ให้ไปดูมงกุฎดอกส้ม ฉันต้องเป็นประมาณนั้น ฉันต้องเป็นผู้ชายพี่ใหญ่ ใส่กางเกงแพร ใส่เสื้อกุยเฮง แล้วต้องทนให้ผู้หญิงมาจีบ โดยที่ฉันคิดอยู่ในใจว่าถ้าฉันใส่ ฉันสวยกว่าผู้หญิงที่มาจีบฉัน แล้วเราแสดงตัวไม่ได้ มันจะอึดอัดไหม มันก็ไม่นะ แต่มันรู้สึกว่าฉันเกิดมาทำไม”
หลังจากอกหักกับความรักที่เจ็บปวด เธอตระหนัก และได้บทเรียนว่ารักในสายเปย์ คือ ไม่มีอยู่จริง พร้อมฝากบทเรียนนี้ให้กับคนที่กำลังเผชิญในเส้นทางความรักนี้ด้วย
“ต้องบอกเลยว่าอย่านอกกฎ แต่กะเทยส่วนมากเจอครั้งแรกก็จ่ายเงินมันแล้ว พอมันเห็นได้เงินง่าย มันมาอยู่ด้วยทุกเดือน เพื่อจะมาเอาโทรศัพท์ มาเอารถ แล้วก็ไปทวงของกัน ไม่ต้องไปทวงนะ
คือ ซื้อเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ แล้วไปเรียกหาความรัก ฉันก็เคยเป็นมาก่อนถึงได้มาพูด คือ เราก็จ่ายมันนั่นแหละ เราก็เอาเงินล่อมันมาอยู่กับเรา แต่ไปๆ มาๆ ก็บังคับมัน คือ กะเทยสร้างเอง คือ คิดเองเออเอง ไม่ถามเขาหรอก ว่าที่เขามาอยู่กับเรา ว่ามึงเอาเงินล่อกูถึงมาอยู่ แล้วจะมาตั้งเงื่อนไขเยอะก็ไม่ได้
แต่ถ้าอยู่ในโลกส่วนตัว ก็แสดงเต็มที่ แต่ถ้ามีบุคคลที่ 3 ที่ 4 เขาจะอยู่ในเวอร์ชันเขา แต่กะเทยก็จะต้องแบบหอมแก้มต่อหน้าเพื่อนนะ ทำไมไม่จูงมือ หันไปมองใคร เคยเป็นอย่างนั้นมาหมดแล้ว ฉันเคยเป็นกะเทยบ้าๆ บอๆ ฉันเลยมาบอกต่อ ว่าฉันเคยเป็นมาหมดแล้ว
ตอนนี้ก็แนะนำเลย ถ้าใครไม่รักเรา ให้รีบตายเขาก็ไม่รัก ก็ตั้งแต่ดังมานี่ มาคุยกับฉันว่าหนูไม่ดีเหรอ ไม่ใช่หนูไม่ดีหรอก เหตุผลเดียว คือ มันไม่รักมึง จบ แล้วไม่ต้องมาถาม ไม่ต้องมาขอโอกาส ไม่ต้องไปขอโอกาสมัน
คนที่ไม่รักเรายังไงเขาก็ไม่รัก เหมือนคนที่เข้ามาด่าฉัน ฉันก็ไม่อธิบายนะ อธิบายเพื่อคนที่ไม่รักกู กูก็ไม่รักด้วยนะ จบ”
หวังกฎหมายชีวิตคู่ไทย เติมเต็มรัก 13 ปี!!
ทำให้เจอกันทุกวัน
คอยเติมเต็มชีวิตเธอมากขึ้น เพราะเขาเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย คอยดูแลอย่างดี พร้อมทั้งเปรียบเทียบสมัยอดีตและปัจจุบัน ว่าสถานการณ์ในตอนนี้เปิดรับกลุ่ม “LGBT” ดีขึ้น
“เป็นการดูแลกัน เขาก็เป็นห่วงเราตลอดเวลา คือ ไปทำงานหรือทำอะไร แล้วเขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรมากหรอก เขาก็จะดูแลบ้าน เขาจะ Family man
เขาก็เหมือนเดิม ตื่นมาก็หอมแก้มเหมือนเดิม 10 กว่าปีก็เหมือนเดิม คือ เรานิสัยเหมือนเด็กกันทั้ง 2 คน เรานิสัยอยู่ในระดับเดียว
เรามีความสุขกับการอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว เราไม่ชอบไปปาร์ตี้สังสรรค์ คือ คิดถึงเรา ไม่ต้องมาหาเราที่บ้านกันมาก เพราะเราไม่ชอบเจอคน พอเราบอกญาติพี่น้องก็กรี๊ดกัน”
ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยการจบด้านกฎหมายมา ในมุมมองหนึ่งเธอเองกลับมองว่ายังถูกลิดรอนสิทธิมนุษยชน ทางกฎหมายคู่ชีวิตของเพศที่ 3
“เคยติดตามข่าวกฎหมายคู่ชีวิตอยู่นานแล้ว เป็น 10 ปี ตั้งแต่ตอนอนุญาตให้สิทธิเพศที่ 3 แล้วก็พิสูจน์กันแล้ว ให้สามารถแปลงเพศ ใช้ น.ส.ได้ไหมในตอนนั้น แล้วก็มีกฎหมายคู่ชีวิต สำหรับพวกคู่รักเพศเดียวกัน อันนี้ก็รู้ว่ามีร่างเรียบร้อย
คิดว่าต้องมีนะ เพราะคนเพศเดียวกัน จำนวนประชากรเพศเดียวกัน ที่คนรักร่วมเพศ จำนวนประชากรก็ไม่ใช่น้อยๆ คือ จะปฏิเสธไม่ได้ แต่สังคมตอนนี้มันไม่ควรปฏิเสธแล้ว คือ ต้องได้สิทธิทุกอย่าง ไม่ควรมีกีดกัน ฉันถือว่าเป็นการลิดรอนสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน
ถ้าประเทศไหนยังมาแอนตี้เรื่องกฎหมายคู่ชีวิต ระหว่างการรับรองผลกฎหมายของคนเพศเดียวกัน ฉันว่าเป็นการลิดรอนสิทธิ แล้วไม่ต้องพูดถึงกฎหมายตัวอื่น กฎหมายสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน พวกกะเทย เกย์ ทอม ดี้ คู่รักไม่มีสิทธิได้เลยเหรอ ทั้งๆ ที่คู่ฉันอยู่กัน 13 ปี โดยที่กะเทยอย่างฉัน ไม่ได้เลี้ยงผัว
แล้วคุณต้องการพิสูจน์อะไรอีก ชายจริงหญิงแท้ ยังยิงหัวกันทุกวันเลย ยิงผัว ยิงเมีย วางแผนฆ่าผัว แล้ว ฉันพร้อมที่จะเป็นกรณีตัวอย่าง ว่าฉันเป็นนาย ฉันเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่ฉันอยู่ด้วยความรัก แล้วต่อสู้มาด้วยกัน 13 ปี อันนี้ถ้ายังไม่พอในกรณีคู่รัก ที่เป็นข้าราชการเพศเดียวกัน
เราพร้อมที่จะมาเป็นกรณีตัวอย่าง โดยไม่ต้องเสียเวลาวิจัยเลย ว่า รักแท้ในเพศเดียวมันมีอยู่จริง แล้วเรายังต้องมาเรียกร้องสิทธิมนุษยชนทั้งๆ ที่เราอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดเรื่องสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน แต่กะเทยอย่างฉันยังไม่ได้เลย
โดยเธอมองว่า สถานการณ์ใน LGBT ในปัจจุบันเปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งเธอพร้อมจะเป็นกรณีตัวอย่าง และคอยผลักดันให้กฎหมายนี้เป็นจริง
อย่างไรก็ดี ก็ยังมีการตั้งคำถามและสงสัยถึงกฎหมายคู่ชีวิตนี้ จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างในกลุ่ม LGBT ซึ่งเธอมองว่า สร้างการเปลี่ยนแปลงได้แน่นอน
“มันอยู่ที่ความรัก เพราะคนพวกนั้นมันไม่เคยได้อยู่ร่วมหัวจมท้ายกันจริงๆ ไม่ใช่ว่าสะกิดขึ้นเตียง กินข้าวคลุกน้ำปลา เราก็คนทำมาหากิน ทรัพย์สินเริ่มงอก งอกแล้วทำไง พี่น้องฉันพี่น้องผัว ฉันกับผัวเป็นคนแปลกหน้าในกฎหมาย สิทธิทางกฎหมายฉันกับผัวเป็นคนแปลกหน้า ที่จะไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สินที่งอกมาเลย
การใช้ชีวิต 13 ปี ถ้าฉันเป็นอะไร ทรัพย์สินที่เป็นชื่อฉันจะตกเป็นของพี่น้อง ที่ไม่เคยมาร่วมหัวจมท้าย ถ้าคนมาใช้ชีวิตคู่จริงๆ มันจะมีเรื่องทรัพย์สิน
บางคนก็บอกว่าไม่เห็นต้องดรามาเรื่องพวกนี้เลย ชีวิตคู่มันเกี่ยวกับคน 2 คน ก็มึงยังไม่มีทรัพย์สินไง พอมีทรัพย์สินทำกันมา 2 คน แต่ถ้าผัวฉันตายก่อน ทรัพย์สินตกไปอยู่ที่พี่น้อง
ถ้าฉันตายก่อน ทรัพย์สินตกไปอยู่พี่น้องฉัน เพราะเป็นทายาทโดยชอบทำทางกฎหมาย ฉันกับผัวฉันถ้าไม่มีกฎหมายรับรอง
ฉันสู้กันมาแทบตาย 13 ปี สร้างเนื้อสร้างตัวกันมา แต่เราจะไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เราเหนื่อยมาด้วยกัน 2 คน
ใครอย่ามาบอกว่าความรักไม่ต้องจดทะเบียน ผู้หญิงผู้ชายก็ไม่ต้องจดสิ ยกเลิกกฎหมายครอบครัวไป ฉันจะมาบอก แชร์เข้าไปเลย ฉันพร้อมที่จะยืนหยัด เพราะฉันโดนลิดรอนสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ในแผ่นดินแม่ที่ฉันเกิด”
“แต่งกลอน” เพื่อระบายความรู้สึกตัวเอง!! ช่วงวัยรุ่นเราชอบเก็บตัว เข้าเรียนคนเดียว ก็เลยรู้สึกเราอยากเป็นอะไรที่คนไม่สนใจไหม ถ้าเราเป็นขยะขึ้นมา ก็เลยเขียนกลอน คือ ฉันมีแต่คนมารักฉัน แล้วฉันเหนื่อยคนมารักปุ๊บ เราเหมือนโดนตีกรอบ ฉันต้องแต่งเป็นผู้ชายนะ เพราะแม่รักฉันมาก เลี้ยงฉันมาอย่างดี เพราะแม่เขารับไม่ได้หรอก ฉันก็เลยเป็นผู้ชาย แต่งเป็นผู้ชายมา 40 ปี ไม่เคยไว้ผมยาวเลย ไม่ได้แต่งเป็นผู้หญิง เราก็เลยรู้สึกว่าฉันอยากเป็นอะไรที่ไม่มีใครสนใจ แล้วพ่อแม่ก็เลิกกัน ความคิดเราก็เริ่มสับสน เราเขียนกลอนเยอะ ก็ชอบเขียนกลอน ชอบไปเปรียบเทียบ อย่างกลอนนี้ “รังเกียจ ทอดทิ้ง เหยียดหยาม ประณาม ดูถูก เดียดฉันท์ สาปแช่ง เสียดสี สารพัน ต่อขยะ อย่างฉัน ช่างมันประไร” |
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Liveเรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์ภาพ : พลภัทร วรรณดีขอบคุณภาพ : FB “สิตางศุ์ บัวทอง”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **