xs
xsm
sm
md
lg

“สัปเหร่อวัย 11” เต็มใจอาสา แม้ต้องฟันฝ่าโชคชะตาเพื่อครอบครัว [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในระยะเวลา 3 ปี ภาพเด็กชายวัย 14 ปีผู้นี้ ที่กำลังนำร่างไร้วิญญาณไปฌาปนกิจในเมรุวัด พบเห็นจนชินตา “น้องมิว” สัปเหร่อยอดกตัญญู ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย!! ทำงานทุกอย่างเพื่อครอบครัว ทั้งกรีดยาง-ถางหญ้า-หยุดเรียน หวังมีชีวิตที่ดีขึ้น



ไม่ใช่ทุกคน ที่เป็น “สัปเหร่อ”ได้!!






“ผมไม่กลัวอะไรเลย คือ ทำงานปกติ เราไม่ได้คิดว่ามันมีอะไร แบบไหน ยังไง ไม่ต้องไปคิดทั้งนั้น สู้อย่างเดียว อย่าถอยหลัง ถ้าถอย ถ้าเรากลัวงานก็ไม่เสร็จ”

“น้องมิว -พีรพงษ์ ชูประเสริฐ” เด็กชายวัย 14 ขวบ บ้านหูแร่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เล่าย้อนถึงเส้นทางการเป็น “สัปเหร่อ” ตั้งแต่อายุยังน้อย เพียงเพราะมีใจอยากจะทำเท่านั้น

การเป็นสัปเหร่อไม่ได้ทำให้เด็กอายุ 11 ขวบในตอนนั้น รู้สึกกลัวแต่อย่างใด ซึ่งจุดเริ่มต้นมาจากการช่วยงานศพ และได้สมัครขอเป็นลูกศิษย์กับสัปเหร่อ แต่ก็ถูกปฏิเสธเพราะยังเด็กมาก แต่สุดท้ายสัปเหร่อ ก็ยอมให้ช่วย เพราะเห็นถึงความตั้งใจจริง และจะมีจิตใจคิดจะช่วยเหลือคนอื่น


“ผมได้มาวิ่งเล่นในวัด ก่อนได้ไปขอเป็นลูกศิษย์ลุงแก้ว ลุงแก้วเขาก็รับไว้ ตอนแรกเขาก็ไม่รับ เพราะว่าเห็นผมยังเป็นเด็กอยู่ คงทำไม่ได้ ผมก็ชอบไปคุ้ย ไปเขี่ยศพ เขี่ยไปเขี่ยมา เขาก็สงสาร ผมเลยพาไปที่บ้าน พอเขาเห็นสภาพบ้าน ก็รับไม่ได้ เลยรับผมเป็นลูกศิษย์”



สอดคล้องกับ “ลุงแก้ว-บญช่วย ฉุดฉัตรแก้ว” สัปเหร่อที่คอยช่วยเหลือน้องมิว ได้บอกเล่าให้ฟังว่า ความตั้งใจ และจากการได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของเขาที่ยากจน รู้สึกเห็นใจ จึงได้รับเขาเป็นศิษย์

“เขาก็มาขอสมัคร บอกว่า ลุงแก้วขอให้น้องมิวมาเป็นลูกศิษย์สักคนหนึ่งนะ ผมบอกว่าแล้วไม่กลัวผีเหรอ เขาว่าไม่กลัว
เด็ก 3 คน มีเพื่อนเขา 2 คน แล้วเขาคนหนึ่ง ไม่มีใครกล้าดูในเตาที่เผาศพ มีเขาคนเดียวที่กล้าดู กล้าคุ้ย กล้าเขี่ย กล้าทำ ผมก็เลยรับเอาไว้

ผมเขามาขอเป็นลูกศิษย์ เขามาทำงานกับผมประมาณสักศพหนึ่งได้ แล้วเขาก็พาผมไปที่บ้าน โอ้โห ไม้อะลึงตึงนัง ในบ้านก็ไม่ได้ลาดพื้น อิฐก่อไว้ครึ่งเดียว หัวครัวกับห้องนอนห้องเดียวกัน อยู่แห่งเดียวกัน ซีกหนึ่งเป็นครัว ซีกหนึ่งที่นอน”

ภาพเด็กชายกำลังนำร่างไร้วิญญาณไปฌาปนกิจในเตาเผาเมรุวัด เป็นภาพที่ชาวบ้านในหมู่บ้านละแวกนั้น พบเห็นเป็นประจำมานานกว่า 3 ปี


สำหรับอาชีพสัปเหร่อ แน่นอนว่า เป็นอาชีพที่ไม่ค่อยมีใครทำ เพราะต้องใช้เวลาเรียนรู้ขั้นตอน การจัดการศพ มีคาถาและมีครู จึงจะประกอบพิธีได้ แต่สำหรับสัปเหร่อตัวจิ๋วแล้ว ไม่มีคาถาอาคม เพียงใช้หลักพระพุทธศาสนาเท่านั้นเอง

“ก่อนจะเผาก็มาขอ (เจ้า) ที่ จัดซื้อของมาของไหว้ ขอยายกะลาตากะลี ว่าขอที่เผาศพของใคร ชื่ออะไรก็พูดไป ให้เขาไปสู่สุคติ ขอให้ท่านรับไว้ด้วย

พอเสร็จก็เปิดเมรุ แล้วก็ลากรางล้อออกมาเพื่อใส่ถ่าน จากนั้นก็เตรียมอุปกรณ์ เอารอนไปซื้อน้ำมัน ไปอาบน้ำกินข้าว เสร็จก็มาที่วัดมาเตรียมธูปเทียน จัดดอกไม้หน้าศพ เสร็จแล้วก็รอ จากนั้นก็ตีระฆังแล้วให้พระขึ้นสวด แล้วเผาทีเดียวเลย
ระหว่างเผาต้องใส่ดอกไม้จันทน์ในราง แล้วรดน้ำมัน เมื่อเอาศพมาตั้งแล้ว เราจะเป็นคนเปิดฝาโลงให้หมอ เขาก็ทำพิธี แล้วยื่นน้ำให้หมอ เอาขันและพานให้หมอ พอหมอทำพิธีเสร็จ พอก็เอาดอกไม้จันทน์ใส่ในโลง แล้วรดน้ำมัน จากนั้นก็เคลื่อนศพไปที่เมรุ เพื่อจุดไฟ”

ไม่เพียงแค่นั้น หลังจากที่ได้เอาร่างไร้วิญญาณเข้าฌาปนกิจในเตาเผาเมรุ ในระหว่างที่รอ จะต้องมีกระบวนการเข้าไปดูว่า ไฟสามารถเผาไหม้ศพไปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นหน้าที่ของน้องมิว ที่จะต้องเข้ามาดูว่าสภาพศพเป็นอย่างไร ก่อนสุดท้ายจะทำความสะอาดเมรุ ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า ทำงานอย่างนี้ได้ จะต้องใช้แรงกำลัง ที่สำคัญที่สุดคือจิตใจ ต้องเข้มแข็ง ไม่กลัว

“คิดอย่างเดียวว่าให้เขาไปสู่สุคติอย่างเดียว อย่ามาห่วงคนหน้าคนหลังอยู่ เผาศพแล้วก็รอวันเก็บกระดูกตอนเช้า ก็มากวาดขี้เถ้า ทำความสะอาด ดับธูปเทียน ขอสถานที่”


“สัปเหร่อ-กรีดยาง-ถางหญ้า” ทำเพื่อครอบครัว!!


ขณะที่ ลุงแก้ว ในฐานะผู้ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้การเป็นสัปเหร่อ ให้กับน้องมิวยังเสริมอีกว่า การประกอบพิธีเผาศพมีข้อห้ามปฏิบัติมากมาย ซึ่งสิ่งสำคัญ คือ ห้ามพูดว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ไม่ดี หรือดูแคลนสิ่งที่ทำอยู่

“ข้อปฏิบัติ ผมสอนเขาว่าก่อนที่จะเผาศพนั้น ให้หาซื้อสิ่งของที่เราบูชาเจ้าของสถานที่ ให้เอาไปบูชาเขา จุดธูปจุดเทียนบอกว่า เรามาขอสถานที่แห่งนี้เผาศพวันนี้ ก็บอกเก้าเล่าสิบให้เขาได้รับรู้ ว่าเราเอาใครไปเผาเสร็จ


ไม่ต้องไปใช้อะไรมาก คาถาอาคมไม่ต้องใช้ ใช้คาถาของพระพุทธเจ้า นะโม 3 จบ พอตอกโลง เผาเสร็จ ก็ทำความสะอาดเมรุให้เรียบร้อย

ตอนลงจากบันไดให้สวดนะโม 3 จบ ถึงขั้นสุดท้ายเอามีดกีดกากบาทบันไดขั้นสุดท้าย แล้วไม่ต้องหันหลังไปดู
จากนั้นก็ไปล้างหน้า ล้างตา ล้างมือ ล้างเท้า ให้เรียบร้อยให้สะอาด แล้วก็กลับบ้าน

สิ่งสำคัญคืออย่าพูดเด็ดขาดว่า สิ่งนี้เป็นของสกปรก เป็นสิ่งที่ไม่ดี เหม็นอย่างนู้นอย่างนี้ อย่าพูดเด็ดขาด สอนเขาตลอด เพราะเราไม่มีคาถาอาคมอะไรป้องกันตัว

คุณสมบัติคนที่มาทำงาน คือ ความดี เอาใจใส่กับงานที่เราทำ ไม่ทอดทิ้งงาน ไม่กินเหล้า ไม่เมายา ไม่เที่ยวไม่เกเร ไม่ฉะนั้น พอถึงเวลาจะเผา งานเขาจะเสีย อย่างผมพอมีงาน ก็มานั่งเฝ้าแบบนี้ ต้องเสียสละในการทำงานของเรา ให้เราภูมิใจในงานของเราที่เราทำ แล้วมันจะเจริญเอง”


ไม่เพียงเป็นสัปเหร่อที่อายุยังน้อย แต่เขายังมีความกตัญญู ช่วยแม่ที่ป่วย ด้วยการรับจ้างทำงานทุกอย่าง เพื่อให้ได้เงินมาใช้จุนเจือในครอบครัว
ทว่า เมื่อถามเขาว่า หวังอะไรกับอาชีพตรงนี้ ทำแล้วได้อะไรตอบแทน ซึ่งเด็กชายวัย 14 ปี ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า เงินก็เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่เขาไม่เคยหวังสิ่งใดตอบแทนจากการเป็น “สัปเหร่อจิตอาสา” ทุกครั้งที่ได้ไปทำหน้าที่ตรงนี้ ทางลุงแก้วและเจ้าภาพงาน เป็นคนหยิบยื่นเงินมาให้

“ใจหนึ่ง (เงิน) ก็สำคัญ เพราะว่าเรื่องการใช้จ่ายด้วย รถก็ต้องใส่น้ำมัน บางทีไปทำงานก็ต้องซื้อข้าว ซื้อแกงกิน แต่เราก็ไม่ได้หวังตรงนี้ จะเป็นรายได้ อยากได้ความดี อยากได้บุญได้กุศล



จริงๆ ผมไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนอะไร แต่ตาแก้วเป็นคนให้เอง ไม่เคยขอ เจ้าภาพก็ไม่เคยขอ เขาจะให้เอง เขาสงสาร ผมคิดแค่ช่วยอย่างเดียว ช่วยกับช่วย เคยมีเจ้าภาพไม่ให้เงิน เพราะบอกว่าไม่มีเงิน เราก็บอกเขาว่าไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน”
นอกจากนี้ ด้วยฐานะที่ยากจน และแม่มีโรครุมเร้า น้องมิวจึงตัดสินใจหยุดการเรียน แค่ชั้น ป.5 เพื่อออกมาดูแลแม่ และรับจ้างทำงานทุกอย่าง รวมทั้งช่วยแม่รับจ้างกรีดยางเรื่อยมา

“ถางป่า สัปเหร่อ ผมทำหมดทุกอย่าง เวลาเขาใช้ทำอะไรทำหมด ล้างรถ ทำหมดทุกอย่าง ผมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟผมบ้าง แม่บ้าง บางครั้งแม่กรีดยาง เพื่อเอามาจ่ายค่าไฟ

ผมทำงานตรงนี้เสร็จ ผมก็เอาไปเสียค่าใช้จ่ายในครอบครัว ถ้าเดือนไหนเงินไม่พอ ผมก็หางานอีก หาลุงบ้าง ไปถามว่าที่สวนยางรกไหม หรือว่าไปรับจ้างตัดหญ้าอะไรแบบนี้ ผมได้มา 500 บาท บางวันผมเอาแค่ร้อยนึง ใส่น้ำมันบ้าง ที่เหลือซื้อกับข้าว”
ด้าน ลุงแก้ว เสริมอีกว่า น้องมิว เป็นเด็กกตัญญู ทุกงานที่ทำ เขาทำเพื่อครอบครัว เอาเงินที่ได้เป็นเงินปากท้องของแต่ละวัน

“ทุกวันนี้เขาทำด้วยความกตัญญูต่อแม่เขา ที่เขาได้ออกจากโรงเรียนมา ไม่ได้ไปเรียนหนังสือก็มาดูแลแม่เขา เพราะว่าเวลาแม่ไปกรีดยาง เขากลัวแม่จะเป็นอะไร

แม่เขาเป็นเบาหวาน เขากลัวแม่จะไปช็อกกลางป่ายาง เวลาเบาหวานขึ้น เขาก็ไปดูแม่เขา ถ้าไม่ไปดูแม่เขา จะมุ่งหน้าเรียนแต่หนังสือเขาก็ไปทำงานกลางคืนไม่ได้ ก็ต้องยอมหยุดจากโรงเรียน แล้วมาดูแลแม่

เด็กคนนี้เขาเก่งนะ โนราห์เล่นเป็น ตีกลองยาวก็เป็น กลองยาวก็เอา โนราห์เอา ด้านดนตรีชอบ เก่งมากๆ เลยแหละ
ถ้าเป็นเด็กอื่น คงไปซิ่งรถ จะมามุ่งหน้าแบบนี้ทำไม”


ภูมิใจได้เป็น “สัปเหร่อจิตอาสา”

“ตอนแรกก็มี พี่สน เดอะสตาร์ ถ่ายรูปแล้วโพสต์ในเฟซบุ๊ก ว่า ผมเป็นสัปเหร่อ ช่วยแม่เก็บยาง-กรีดยาง พอเขาโพสต์ก็ได้หลายไลก์ และมีเข้ามาช่วยเหลือ ชีวิตเปลี่ยนไปทุกสิ่งเลย มีทั้งบ้าน ทั้งรถ ทั้งเงิน เขาก็ช่วยๆ ผมกัน”


ขอบคุณที่เขาเห็นเรา และสนับสนุนเราให้เดินมาถึงเส้นทางที่เราอยากจะเป็น และขอบคุณตาแก้วที่รับผมเป็นลูกศิษย์ ถ้าไม่ได้ตาแก้วก็ไม่ได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ ก็คงลำบากเหมือนเดิม ลำบากมากกว่านี้อีก ทุกวันนี้ก็ได้ตาแก้วที่ได้ช่วยผมไว้ค่าใช้จ่ายแบบนี้ ได้ใช้จ่ายกับครอบครัว”

แม้จะได้รับความช่วยเหลือ มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าแต่ก่อน แต่ภาระค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของ 3 ชีวิต ยังคงใช้ชีวิตยังคงปกติเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เพื่อหาเงินมาประทังชีวิต ซึ่งอย่างน้อยๆ หวังเพียงแค่ใช้ชีวิตมีความสุขในสังคม

สุดท้าย ถามว่า ชีวิตที่ผ่านมานี้ อะไรที่ทำให้มีความสุข และมองเห็นอะไรในการรับหน้าที่สัปเหร่อ เขาตอบชัดว่า

เขาไม่เคยมองอาชีพนี้ไม่มีเกียรติ ภาคภูมิใจกับได้ทำหน้าที่ตรงนี้

“ภาคภูมิใจครับ ไม่เบื่อ จะทำแบบนี้สืบตายาวนานไปเลย จนชรา จนผมแก่ ผมแก่ทำไม่รอดแล้ว จนผมตายเลย
คนเราเกิดมาต้องตายทุกคน เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครห้ามได้ ทุกสิ่งเกิดจากดิน สุดท้ายกลับสู่ดินเหมือนเดิม”

สำหรับน้องมิวเด็กชายวัย 14 ยอดกตัญญูคนนี้ เลือกแล้วที่จะทำงานทุกอย่าง เพื่อให้ 3 ชีวิตในครอบครัวอยู่ได้


ขณะเดียวกัน ก็พร้อมช่วยเหลือสังคม ในฐานะสัปเหร่อโดยไม่เคยขอหรือคิดหวังสิ่งตอบแทน ถึงแม้บางคนอาจจมองว่างานสัปเหร่อไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี แต่น้องมิวก็ไม่โกรธ ยืนยันพร้อมจะทำหน้าที่ส่งร่างไร้วิญญาณของทุกร่าง ให้ไปสู่สุคติอย่างเต็มที่และดีที่สุด




สัมภาษณ์ รายการ ฅนจริง ใจไม่ท้อ
เรียบเรียง : MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์


** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **
กำลังโหลดความคิดเห็น