“หมอส่งฟรี พยาบาลส่งฟรี!!” ป้ายสี่เหลี่ยมที่ติดไว้บนรถแท็กซี่ ของชายผู้อุทิศตนขับรถส่งฟรี เพื่อบุคลากรการแพทย์ “อยากช่วย –อยากอำนวยความสะดวก” ไม่ท้อแท้แม้รายได้ลดกว่า 80% หวังเป็นหนึ่งแรงที่คอยช่วยแพทย์-พยาบาล ในวิกฤตเชื้อไวรัสโควิด-19
เปิดเบื้องหลัง “โชเฟอร์จิตสาธารณะ” ขับรถส่งฟรี!!
“มันสบายใจครับ กับรายได้ที่ตกๆ ไปมันทำอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่ผ่านมาผมทำแล้วสบายใจ ใครจะว่ายังไง เกาะกระแสหรืออะไร ผมไม่ซีเรียส ทุกคนไม่ว่าจะทำอะไร ทำก็โดน ไม่ทำก็โดน เพราะฉะนั้นเราเลือกที่จะทำดีกว่า ยังไงมันก็โดนอยู่แล้ว
“ตี๋-ประเจิด สังข์เจริญ” คนขับแท็กซี่ วัย 45 ปี เปิดใจผ่านปลายสายกับทีมข่าว MGR Live ถึงการตัดสินใจรับส่ง “บุคลากรการแพทย์” ฟรี ซึ่งหลังจากที่ได้ติดป้ายรับส่งแพทย์พยาบาลฟรี กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่สร้างรอยยิ้ม ในวันที่วิกฤตเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงระบาดอยู่ ณ ตอนนี้
“ภาระผมก็มีไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ถามว่าเครียดไปแล้วได้อะไร เราเอาตรงนี้มาช่วยสังคมดีกว่าไหม พอเรามีเงิน เราช่วยได้ประมาณนี้ เราก็ใช้ ไม่ใช่แบบเงินก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี ผู้โดยสารไม่มี ยังแบบใหญ่โตมโหฬาร ต้องเอาเงินบริจาคอะไรอย่างนี้ ทำแล้วมันเดือนร้อนกับตัวเอง ผมจะไม่ทำ แต่ตรงนี้ถามว่าเดือดร้อนไหม ผมไม่ได้ซีเรียส ผมไม่ได้เดือดร้อนนะ เพียงแต่ว่าแค่ปลีกเวลา ผมได้ 500-600 แล้ว ผมก็จะไปจอดซุ่มหยุดอยู่แถวหน้าโรงพยาบาลบ้าง อะไรบ้าง เพื่อ ทำตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้
คืออยากช่วย อยากอำนวยความสะดวก เพราะบางทีการระบาดมันเยอะขึ้น แพทย์ทำงานเหนื่อยขึ้น คือมาเห็นป้าย ขึ้นรถปุ๊บ จบกลับถึงบ้านไม่ต้องมานั่งรอ กลับถึงบ้านสบายใจ ต่างคนต่างให้ คือผมให้แล้วผมสบายใจก็โอเค จบ ไม่มีอะไร”
หนุ่มแท็กซี่รายนี้จึงคิดว่ายังมีอีกอาชีพ ที่อาจจะลำบากมากกว่า คือบุคลากรทางการแพทย์ เมื่อได้ติดตามข่าวสาร เห็นข่าวบางคนถูกแท็กซี่ปฏิเสธ เนื่องจากกลัวว่าจะติดเชื้อจากโรค จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่ก็ไม่มีทุนทรัพย์
“เริ่มแรกมาจากตอนงานในหลวงรัชกาลที่ 9 ผมก็รับส่งคนที่จะไปวางดอกไม้จันทน์ฟรี บางทีเจออุบัติเหตุท้องถนนคือโทร.แจ้งสวพ.91ประสานงานให้
ถ้าไม่มีลูกค้าก็ลงไปช่วย ถ้ามีลูกค้าอยู่ในรถก็โทร.แจ้งให้สวพ.91 เขาก็ประสานให้ เป็นจุดเริ่มต้นของตรงนี้ คืออ่านข่าว ดูข่าวที่จีน ดูแพทย์กับพยาบาลเขาเหนื่อย เราก็มองกลับมาทางของเรา ของเรามันก็น่าจะเหนื่อย ต้องทุ่มเท ต้องอะไรหลายอย่าง
และประเด็นหลักคือ เหมือนอุปกรณ์ทางการแพทย์ของเมืองไทย มันยังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ มันยังขาดแคลนอยู่ แต่ผมคือให้บริจาคเงินมันก็ไม่มี มีไม่พอที่จะทำแบบนี้ ผมขับรถรถอยู่ ผมก็อยากช่วย บางทีกลับมาเหนื่อยๆ แบบนี้ มายืนรอรถ 2-3 คัน เขาก็ปฏิเสธที่จะรับ
คุยกับแฟนก็ไม่ได้ว่า ผมก็ถามแฟน พี่อยากช่วย อยากรับ เขาบอกเอาดิพี่ ก็ติดป้ายไปเลย คือหลักการทำงานของผม คือผมก็ยังหากินปกติ แต่พอรู้ว่าเป็นแพทย์ เป็นพยาบาล หรือว่าเป็นบุคลากรทางการแพทย์อย่างนี้ ผมก็บอกขออนุญาตไม่เก็บเงินนะครับ เป็นการช่วยเหลือไป”
เมื่อเขาตัดสินใจได้แล้ว ว่าจะช่วยเหลือสังคมอย่างไร รวมทั้งทางภรรยาก็สนับสนุนความคิดของเขา ทุกๆ วันของชายวัย 45 ปี และรถแท็กซี่คู่ใจส่วนใหญ่จะวนเวียนอยู่บริเวณโรงพยาบาล เพื่อคอยอำนวยความสะดวกให้กับทางแพทย์ พยาบาล
“ส่วนใหญ่ผมก็จะไปจอดแถวหน้าโรงพยาบาล แต่ส่วนใหญ่ได้แต่เป็นผู้ป่วยออกมาแทน หรือบางทีไปไม่ถูกจังหวะที่หมอหรือพยาบาลเขาออกเวร อย่างลูกค้าเรียกงานผ่านแอปฯอย่างนี้ เรียกไปส่งโรงพยาบาล บางทีใส่ชุดพยาบาล ผมก็บอก ผมขออนุญาตไม่เก็บเงินนะ คือส่งฟรี และรายงานผ่านแอปฯไปด้วยว่า เคสนี้ผมไม่ได้เก็บตังค์ลูกค้านะ อาจจะมีค่ามิเตอร์ผิดเพี้ยนไปจากระบบ ผมจะแจ้งตลอด”
รายได้หาย 80% แต่พร้อมใจช่วยสังคม!!
หลังจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เขาถือเป็นหนึ่งในอาชีพที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างหนัก เพราะผู้โดยสารหายไปเกิน 80%
“ประมาณ 80% ก็คือเยอะครับ คือ ผมไม่ได้เครียด ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีก็คือไม่มี หาไม่ได้ก็คือหาไม่ได้ คือไหนๆ หาไม่ได้แล้ว ก็คือทำความดีไปเลยดีกว่าไหม
มันก็ไม่ได้หนัก ไม่ได้เป็นภาระเพิ่มเติม ดีกว่าไปทำอย่างอื่น ได้ช่วยสังคม ได้ช่วยหมอ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์”
ไม่เพียงแค่นี้ ระหว่างที่เขาขับไปสถานที่ต่างๆ ก็มีคนโบก แต่ไม่ได้เป็นโบกเพื่อใช้บริการ แต่โบกเพื่อนำหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือมอบให้ป้องกันตัว ซึ่งถือเป็นกำลังใจอย่างดีสำหรับเขา
ทั้งนี้ การที่เขาได้ตัดสินใจช่วยสังคมในสภาวะวิกฤตแบบนี้ ก็นำมาซึ่งคำถามถึงความปลอดภัย ของการทำตัวเสี่ยงๆ ของคนขับแท็กซี่รายนี้ ซึ่งเขาให้คำตอบไว้ว่า ไม่รู้สึกกลัวในการเป็นจิตสาธารณะช่วยสังคม รวมทั้งคิดว่าแพทย์และพยาบาล มีการดูแลและป้องกันกว่าบุคคลทั่วไป
“วันหนึ่งผมทำความสะอาดโดยประมาณ 2 ครั้งในการฆ่าเชื้อ กลางวันกับตอนเย็น คือกลับมาจากทำงานปุ๊บ ก่อนเช็กรถคือผมพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อไว้เลย หลังจากรับเงินผู้โดยสารหรือทอนเงินผู้โดยสาร ผมก็ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือทุกครั้งและสวมหน้ากากตลอดเวลา
แต่ถามว่าสำหรับแพทย์ พยาบาล บอกตามตรงผมไม่กลัว เพราะว่าผมคิดว่าแพทย์กับพยาบาลต้องช่วยตัวเองดีกว่าบุคคลทั่วไปด้วยซ้ำ ผมไม่ค่อยซีเรียสเรื่องนี้สักเท่าไหร่”
นอกจากนี้ เขายังฝากเป็นกำลังใจให้บุคลากรการแพทย์ทุกคนที่กำลังเผชิญปัญหาต่อสู้กับโรคไวรัส และเชื่อว่าทุกคนจะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยดี
“ผมเข้าใจความรู้สึกทุกคน กลัวหมด ถามผมกลัวไหม ผมกลัว แต่ผมคิดในทางกลับกันว่าบุคคลทั่วไป หรือประชาชนทั่วไปการ Safety ผมว่ายังน้อยกว่าแพทย์หรือพยาบาล คือแพทย์กับพยาบาลเขาอยู่ใกล้ชิด เพราะฉะนั้นเขาต้องเซฟตัวเองมากที่สุด ชุดหรือว่าน้ำยาฆ่าเชื้อ ถึงจะขาดแคลนยังไง เขาก็ยังมีพอใช้อยู่ในระดับหนึ่ง
ผมก็เป็นกำลังใจให้กับนักรบชุดขาวทุกๆ ท่าน ให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ถ้าขาดเหลือเรื่องการขนส่ง หรืออะไร ยินดีพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทางราชการ
สิ่งที่ทำอยู่ ผมไม่คิดว่าข่าวจะใหญ่โตขนาดนี้ด้วยซ้ำ คือทำเพราะว่าจิตใจผมทำ และคนข้างตัวผมไม่มีการคัดค้าน มีแต่สนับสนุนว่าพี่ทำสิ โอเค ในเมื่อสนับสนุนก็ทำเป็นกิจลักษณะ
ถ้าเกิดคุณหมอ หรือพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ถ้าเกิดไม่มีรถกลับจริงๆ โทร.หาผมหน้าเฟซผมมีเบอร์โทร.ผมพร้อมที่จะตีรถไปรับได้ ไม่มีปัญหา เพราะยังไงเป็นกำลังใจให้นักรบชุดขาวทุกๆ ท่าน”
สกู๊ป: ทีมข่าว MGR Live
ตัดต่อ: อิสสริยา อาชวานันทกุล
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **