เปิดใจสาวไทย แชร์ประสบการณ์ตรง เข้าข่ายผู้ป่วยโควิด-19 เกือบโดนกักตัว 14 วัน หลังกลับจากเที่ยวญี่ปุ่น รอผลตรวจนานถึง 8 ชั่วโมง พร้อมฝากเตือนเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนที่ไปเที่ยวต่างประเทศช่วงนี้ งดได้ควรงด ป่วยมาไม่คุ้ม
แชร์ประสบการณ์ตรง ผู้ป่วยเข้าข่าย “โควิด-19”
“อึ้งเลยค่ะ ตอนที่บอกว่าเข้าข่าย กลัวด้วย เห็นคุณหมอกับเจ้าหน้าที่พยาบาลใส่ชุดหมออู่ฮั่นเข้ามา ยิ่งตกใจ โอ๊ยตายแล้ว คือไปกันใหญ่แล้ว ในใจคิดว่าฉันจะตายไหม คนข้างหลังจะอยู่ยังไง ฉันคือต้นเหตุเหรอ มันคืออะไร ถึงขั้นจะมอบหมายงานให้ลูกน้อง ใครจะดูแลเงินส่วนไหน คืออารมณ์มันไปหมดแล้ว แต่ก็ยอมรับนะ จะตายก็ตาย”
ตั๋น-เสาวลักษณ์ ชำนาญนาค วัย 46 ปี เปิดใจกับทีมข่าว MGR Live เพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนที่ไปเที่ยวต่างประเทศในช่วงนี้ หลังจากที่เจ้าตัวโพสต์เล่าประสบการณ์ กลับจากเที่ยวที่ญี่ปุ่น ผ่านเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “Katun Hunter” ซึ่งพบว่าเข้าข่ายผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 จนโดนกักตัวไว้ที่โรงพยาบาล รอผลตรวจนานกว่า 8 ชั่วโมง
เธอเล่าว่าบินไปเที่ยวญี่ปุ่นวันที่ 27 ม.ค. กลับมาวันที่ 4 ก.พ.ช่วงนั้นยังไม่มีการประกาศห้ามอะไร จึงไปเที่ยวตามปกติ เพราะเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นอยู่บ่อยครั้ง โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 24 แล้ว
“สิ่งที่เตรียมขึ้นมาคือ มาส์ก แอลกอฮอล์ เจลล้างมือ คิดว่าดูแลตัวเองดีเต็มที่ ตรงไหนที่เลี่ยงเขาไม่ให้ไป เราก็เลี่ยงหมด ทุกอย่างเลี่ยงหมด ใช้ชีวิตในญี่ปุ่น อยู่ในโตเกียว 5 วัน อยู่แถวฟูจิ 1 คืน ก็ใช้ชีวิตนักท่องเที่ยวตามปกติ แต่ทุกอย่างก่อนจะกินอะไรก็ล้างมือ เช็ดมือ ทุกอย่างทำหมด”
จนกระทั่งถึงวันกลับ ก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ไปทำงานตามปกติ เพราะทุกอย่างถือว่าดูแลตัวเองอย่างดี คงไม่เป็นอะไร และคงไม่ได้ติดกันง่ายๆ จึงเกิดความชะล่าใจเพราะตอนนั้นญี่ปุ่นยังไม่มีข่าวอะไรร้ายแรงเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 มีเพียงที่อู่ฮั่นอย่างเดียวเท่านั้น เรื่องโดนกักจึงลืมไปได้เลย
“พอกลับมา วันเวลามันก็ผ่านไป ถามว่า 14 วันที่ต้องกักตัวก็เป็นข่าวที่กรอกหูอยู่ประจำ จนวันที่ตัวเองเป็นไข้จริงๆ จึงเริ่มย้อนนับว่ากลับมาวันที่ 4 ก็คือมันครบรอบ มันชน อาการมันเริ่มก่อนหน้านี้นิดหน่อย
อาการเริ่มมันก็เหมือนคนเป็นไข้ปกติ เราก็นึกว่าเราไปอยู่เมืองเย็นๆ กลับมาแล้วอาจจะปรับตัวไม่ทัน ก็ไม่มีอะไร กินยา พอกินยาก็ดีขึ้น แต่สักพักหนึ่งเริ่มสังเกตตัวเองพอห่างยาไป ตัวเริ่มรุมๆ พอชนวันที่ 14 วันที่ฟักตัว ก็มาเลยทีนี่ อาการก็คือ เจ็บคออันดับแรก เริ่มระแวงแล้วว่าทำไมเป็นแบบนี้ เป็นโควิด-19 หรือเปล่า ในใจคิดแล้ว แต่เดี๋ยวค่อยว่ากัน
วันที่ไปหาหมอชัดๆ เลยคือวันที่ 18 พอไปหาหมอคืออาการเราไม่ไหวแล้ว ตาร้อนวาบๆ คืออาการเป็นมาตั้งแต่กลางคืน ครั่นเนื้อ ครั่นตัวตัว ง่ายๆ ว่าเอาตัวเองไม่อยู่แล้ว ก็เลยตัดสินใจไปหาหมอ ไม่บอกใครในบ้านด้วย กลัวเขาตกใจ”
สาววัย 46 ยังเล่าอีกว่า เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ก็โดนซักประวัติ ถามถึงอาการ และถามถึงประวัติการเดินทางไปต่างประเทศ
“เขาก็ซักประวัติถามว่าเป็นมากี่วัน อาการเป็นยังไง ก็บอกว่าเจ็บคอ ปวดเมื่อยตัว ก็ได้ยินเสียงเขาพูดเบาๆ ว่าผู้ป่วยเข้าข่ายโควิด-19 ค่ะ เหมือนแจ้งเข้าไปในหน่วยเจ้าหน้าที่ในส่วนที่ดูแล แต่คือไม่ได้พูดกับเรา แจ้งเข้าไปให้เตรียมพร้อม
เขาก็บอกว่า ขอโทษนะคะ ช่วงนี้คนป่วยที่มาจากพื้นที่เสี่ยง เราจะมีการซักประวัติที่มันมากหน่อย เราก็บอกโอเคค่ะ เข้าใจ ไม่เป็นไร เสร็จแล้วก็มีการวัดไข้ อยู่ที่ 38.8 พอหมอเห็นไข้สูงด้วยข้อมูลอะไรต่างๆ ก็มีเจ้าหน้าที่มาเชิญเข้าไปในห้อง เพื่อดูอาการ เราก็เดินเข้าไปโดยดี
ในใจคือคิดว่าอย่าเป็นนะ เพราะห่วงคนข้างหลังมากกว่า มีลูกน้องหลายคนที่เราต้องดูแล ถ้าเราเป็น เขาจะเป็นยังไง แต่ในใจก็บอกกับตัวเองว่าฉันก็ดูแลตัวเองขนาดนี้ จะเป็นได้ยังไง”
วินาทีที่รู้ว่าตัวเองเข้าข่ายเป็นผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 ยอมรับว่ารู้สึกตกใจมาก ยิ่งตอนที่แพทย์เข้ามาพร้อมกับใส่ชุดป้องกันตัวอย่างแน่นหนา ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ แต่ก็พยายามบอกกับตัวเองเสมอว่าต้องมีสติ
“อันดับแรกเขาก็พาเข้าห้องเลย ก็ให้ขึ้นเตียง บอกว่าให้รอดูอาการในห้องนี้ก่อน จากนั้นก็ปิดประตู สักพักหนึ่งก็มีคุณหมอกับเจ้าหน้าที่พยาบาลเห็นใส่ชุดหมออู่ฮั่นเข้ามา ก็ตกใจว่า โอ๊ยตาย คือไปกันใหญ่แล้ว ยิ่งตกใจ แต่เราก็บอกตัวเองว่าไม่เป็น จะได้รู้ พอเขามาถึง หมอเขาก็แนะนำตัวว่าชื่ออะไร กระบวนการต่อไปเรากำลังจะถูกทำอะไร
คุณหมอก็บอกว่าเดี๋ยวเราต้องทำการตรวจเชื้อ เขาก็บอกว่าคนไข้ก็มีมาแบบนี้แหละ แต่เป็นไข้หวัดใหญ่ บางคนก็มาจากเมืองจีนแต่ไม่เป็นอะไรนะคะ เขาก็ปลอบประโลมไป เขาก็นำเอาอุปกรณ์ตรวจไข้หวัดใหญ่มา แหย่จมูกด้านซ้ายก่อนอันดับแรก เสร็จแล้วก็ทำงานตามกระบวนการ ผลตัวนี้ใช้เวลา 45 นาทีนะคะ ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ก็สามารถกลับบ้านได้เลย
พอถึงเวลาจริง สิ่งที่มันเกิดขึ้นตกใจคูณหมื่น คุณหมอใส่ชุดอู่ฮั่นกลับเข้ามาอีกรอบหนึ่ง ในใจคิดว่าตาย ใช่แน่ๆ แต่ทีนี้คุณหมอก็เข้ามา ผลไม่ได้เป็นไข้หวัดใหญ่นะคะ ตอนนั้นถ้าร่วงได้ก็คงจะร่วงลงไปตรงนั้นแล้ว เสร็จแล้วหมอก็บอกใจเย็นๆ นะคะ มานั่งบีบมือ พยายามปลอบประโลมทุกๆ อย่าง เดี๋ยวขั้นตอนต่อไปนะคะ เราจะทำการตรวจอีกรอบหนึ่ง เดี๋ยวจะต้องส่งผลของตัวนี้ไปในหน่วยงานของโควิด-19 ของจังหวัด ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา ตอนแรกหมอบอกอยู่ที่ 4 ชั่วโมง
ก็คือช่วงที่ตรวจ รอบแรกจมูกซ้าย รอบ 2 ตรวจมูกขวา คอ แล้วก็เจาะเลือด รอบนี้ 3 จุดที่เขานำไปให้หน่วยงานที่ตรวจสอบโรคโควิด-19 คุณหมอบอก 4 ชั่วโมงเราก็โอเคทนอีกหน่อย ใจดีสู้เสือ แต่ในใจมั่วไปหมดแล้ว”
เนื่องจากห้องที่ผู้ป่วยรายนี้โดนกักตัวไว้เพื่อตรวจโรค เป็นห้องที่ห้ามบุคคลภายนอกเข้า การแจ้งข่าวสารกับคนป่วยจึงเป็นการสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์ เมื่อได้รับแจ้งผ่านปลายสายว่าต้องใช้เวลารอผลตรวจเพิ่มขึ้นเป็น 8 ชั่วโมง ยิ่งทำให้สาวรายนี้อยู่ไม่เป็นสุข
“เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็โทร.เข้ามาบอก เพราะห้องตรงนั้นเป็นห้องที่ห้ามใครเข้า เขาขอเบอร์เรา แล้วเขาก็บอกว่าคนไข้คะ ผลตัวนี้จะต้องใช้เวลารอเพิ่มขึ้นเป็น 8 ชั่วโมงนะคะ สักพักหนึ่งก็มีพยาบาลผู้ชายมาอยู่เป็นเพื่อน เหมือนเขากลัวว่าเรากังวลเขาก็เลยให้น้องที่เป็นพยาบาลผู้ชายที่ใส่ชุดอู่ฮั่นมานั่งคุย มานั่งถามว่ากลัวไหม เราก็บอกกลัวนะ
ถามหมอว่าจะตายไหม หมอเขาคงไม่ตอบหรอกนะว่าจะตายหรือไม่ตาย ต่อให้เราเป็นเขาก็ต้องหาคำพูดที่มันแบบเบาๆ มาพูดกับเรา ก็รอผลจนถึง 19.00 น. ซึ่งมันมาก่อนเวลา 1 ชั่วโมง เสียงเจ้าหน้าที่โทร.มาก็เสียงสดใสก็บอกว่าผลเลือดคุณเป็นลบนะ คำว่าเป็นลบก็คือไม่ได้เป็นโควิด-19 อารมณ์ตอนนั้นก็คือถ้าเหมือนรับปริญญา ก็โยนหมวกแล้วเฮ ก็หลุดออกมาได้”
งดเที่ยวต่างประเทศ ป่วยมาไม่คุ้ม
“เหตุผลในการโพสต์ก็เพื่อเตือนสติคนที่เขากำลังคิดจะไป หรือคนที่ไปมาแล้ว ต้องทำตัวยังไง หรือถ้าใครคิดว่ากำลังจะบิน หรือเดินทางไปกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยง ถ้ายกเลิกได้ ยกเลิกเถอะ มองถึงคนข้างหลังไว้ เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก อย่าคิดว่าซื้อตั๋วแพง ค่ารักษาแพงกว่านะ ต่อให้ไม่ใช่อยู่โรงพยาบาลเอกชนก็ตาม แต่ถ้าอยู่หลายๆ วันโรงพยาบาลรัฐก็ต้องจ่ายอยู่ดี ฝากไว้เลย ย้อนกลับได้ จะไม่ไป เข็ดค่ะ”
ประสบการณ์ในครั้งนี้สาววัย 46 ปี ยอมรับว่า เพียงอยากโพสต์เตือนคนที่คิดจะไปเที่ยวต่างประเทศในช่วงนี้ หากยกเลิก ควรยกเลิก เพราะไม่อยากให้เสียใจภายหลัง ถ้าเป็นมาแล้วไม่คุ้ม
“คือใครโทร.เข้ามาหาก็แทบจะไม่อยากคุย แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวให้ผลออกก่อนถึงคุย สติยังได้ แต่ความรู้สึกข้างในมันพังไปหมดแล้ว ถ้าให้เลือกได้อีกครั้งไปไหม บอกเลยว่าไม่
ถ้าเราไปเที่ยวมา ถ้ามีอาการเริ่มต้น เจ็บคอ อาการไข้ ตาร้อน เราจะรู้สึกหงุดหงิด เมื่อยเนื้อ เมื่อยตัว นี่คืออาการขั้นต้น คุณต้องไปพบแพทย์ แล้วบอกว่าไปไหนมาบ้าง
ความตายทุกคนกลัวหมด แต่มันไม่ได้ตายวันนี้ สมมติแจ็กพอตเราเป็นจริงๆ เรายังมียารักษาเรานะ อย่าไปห่วงว่าตายแล้วฉันไม่มีเงิน ตรงนั้นถ้าโรงพยาบาลเขารับรู้ หรือว่าถ้าเราเป็นจริงๆ เขาก็จะมีโรงพยาบาลที่ดูแลเรื่องโควิด-19 โดยเฉพาะ เขาไม่ปปล่อยให้เราตาย
แต่ปัญหาที่ห่วงในปัจจุบันก็คือไม่กล้าที่จะพูดความจริง บอกเลยว่าความรู้สึกแรกจะเป็นประมาณนั้น จะบอกดีไหม หรือไม่บอกดี เรื่องนี้แน่นอนอยากให้บอก มีอะไรพูดไปให้หมด มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิด ถ้าเราดูแลมาดี แจ็กพอตไม่ได้แตกกับทุกๆ คน ขอให้พูดความจริงว่าไปไหนมาบ้าง อยากให้เเข้าใจ และไม่กลัวในการที่จะไปหาหมอ”
ทั้งนี้ ยังชี้แจงกรณีกระแสข่าวที่ออกไป ทำให้คนอื่นๆ ตกใจว่าราคาสูง ซึ่งขึ้นอยู่แต่ละโรงพยาบาลว่ารัฐหรือเอกชน ส่วนค่าใช้จ่ายครั้งนี้ เเยกเป็นการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ราคา 6,000 บาท รวมกับค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ทั้งหมดที่แอดมิท 2 คืน 42,073.80 บาท ซึ่งประกันสุขภาพของตัวเองเป็นคนดูเเลให้ทั้งหมด ซึ่งรู้สึกโชคดีที่มีประกัน
“ด้วยตัวเองมีอาการเป็นไข้ อยู่ที่ 38 ก็เลยต้องแอดมิทต่ออีก 2 คืน แล้วตอนนี้มันกำลังมีปัญหาเขาเอาอะไรไปโพสต์ แล้วบอกว่ากักตัวครึ่งแสน ซึ่งมันไม่ใช่ ต้องแยกเป็นประเด็นว่าค่าตรวจโควิด-19 6,000 บาท ส่วนแยกย่อยอื่นๆ ที่เหลือ 36,000 บาท เป็นค่าแอดมิท ค่ารักษาตามอาการ
เหตุผลในการโพสต์ก็เพื่อเตือนสติคน กลายเป็นว่าคนโฟกัสผิดจุด เดี๋ยวโรงพยาบาลต้องมาแถลง ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา เราเลือกที่จะเข้าโรงพยาบาลนี้เอง แล้วเราก็รู้ด้วยว่าค่าใช้จ่ายจะเป็นอะไร เท่าไหร่ มันจะแพงขนาดไหน แต่เรามีประกัน เราไม่ได้ซีเรียสตรงนั้น ค่าแอดมิทอื่นๆ ก็อยู่ที่เราเลือก ตรงนั้นวงเงินประกันเราก็มี 1,000,000 บาท เราก็ใช้สิทธิของเราตามปกติ”
ขอบคุณภาพ : AFP, เฟซบุ๊ก Katun Hunter
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **