กัปตัน, โค้ช, แพทย์, ผู้จัดการทีม ฯลฯ คือกลุ่มคนที่แฟนๆ มักจะนึกถึงก่อนใครเพื่อน เมื่อพูดถึง “ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักเตะ” แต่เขาคนนี้กลับถูกนักค้าแข้งชื่อดังอย่าง “อุ้ม-ธีราทร” ยกย่องให้เป็นที่ 1 ในฐานะ “ล่าม” คอนเฟิร์มว่า ถ้าไม่มีผู้ชายคนนี้คอยหนุน คงไม่มี “นักเตะแชมป์เจลีก” วันนี้!! พร้อมเปิดเส้นทาง ฝ่าคำดูถูก กับคำว่า “ไม่มีทางเป็นไปได้”
หนึ่งเดียวที่ “โก๋อุ้ม” ต้องการ
“ขอบคุณพี่มิวที่ช่วยซัปพอร์ตผมในทุกๆ เรื่อง ในการใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น ขอบคุณที่เหนื่อย และสู้มาด้วยกันจนวันนี้เราประสบความสำเร็จจนได้”
ข้อความบนเฟซบุ๊กของ “อุ้ม-ธีราทร บุญมาทัน” นักเตะทีมชาติไทยที่โพสต์ขอบคุณ “มิว-นริศ จำปาลี” ล่ามแปลภาษาประจำสโมสร โยโกฮาม่า เอส มารินอส ที่ถือว่าเป็นอีกคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “โก๋อุ้ม” หนุ่มผิวคล้ำ ลูกอีสาน วัย 35 ปี จากจังหวัดบึงกาฬ ที่ยืนอยู่ข้างกาย นักเตะไทยคนแรกที่พาทีมคว้าแชมป์เจลีกได้สำเร็จ เล่าถึงความภูมิใจในอาชีพล่ามให้ฟังผ่าน Video call จากแดนอาทิตย์อุทัย ส่งตรงถึงเมืองไทย
“รู้สึกดีใจนะ ที่เราได้สู้มาจนถึงตอนนี้ เราก็พึ่งพากันและกัน ทำให้เขาเชื่อใจ และมั่นใจที่จะให้เราช่วยเขา ก็ขอบคุณจากใจจริงๆ รู้สึกปลื้มใจ และภูมิใจมาก”
แต่กว่าจะเดินทางมาถึงจุดที่นักค้าแข้งคนดัง ต้องการตัวทุกวันนี้ มิวต้องเดินฝ่าขวากหนาม บนเส้นทางการแปลมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะครั้งแรกของการทำอาชีพในฝัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ในความคิดตอนนั้น ล่ามมันไม่ใช่เรื่องยาก ตอนแรกๆ ในการเป็นล่าม มีความประมาทมาก คิดว่ายังไงก็ทำได้อยู่แล้ว เพราะเราเคยเป็นล่ามของบริษัทบ้าง ล่ามอีเวนต์บ้าง
แต่พอไปทำจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย กับฟุตบอลที่เราเคยรู้ ที่เราเคยเล่นมา เขาพูดอะไรกันวะ เราจะใช้คำพูดอะไรสื่อสารกับอุ้มดี คำพูดมันไม่ออกมา มันไม่มีชอยส์ในหัวเลยตอนนั้น ทำงานยาก เขาก็ไม่ค่อยเชื่อใจเราด้วย เพราะเราไม่เข้าใจภาษาฟุตบอลด้วยตอนนั้น
ตอนนั้นคืองานแถลงข่าวเปิดตัวอุ้มที่โกเบ เป็นงานแรก เป็นงานใหญ่ในชีวิต เป็นงานถ่ายทอดสดด้วย ยังจำได้ขึ้นใจเลยวันนั้นในความรู้สึกคิดว่าน่าจะทำได้ ออกรายการโชว์ในทีวีก็เคยออกมาแล้ว แต่พอเราไปยืนจุดนั้นจริงๆ มันมืดไปทุกอย่าง คำพูดของอุ้มก็ยังจำไม่ได้เลย พูดๆ ไปอยู่ดีๆ มันก็ช็อต หายไปหมดเลย อุ้มว่าไงนะพี่ถามอีกครั้งหนึ่ง มันตื่นเต้นด้วย ประหม่าด้วย ทั้งเหงื่อทั้งอะไรเต็มมือ จะพูดอะไรก็ผิดหมด”
เป็นการทำงานในฐานะล่ามครั้งแรกหลังจากที่ใฝ่ฝันมานานที่จะอยากไปยืนเคียงข้างนักฟุตบอลที่เขาชื่นชอบ แต่แล้วกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง โดนวิจารณ์อย่างหนัก ทำให้คิดว่าคงไม่เหมาะสมที่จะทำต่อ
“ก็กลับมาเช็กดู โดนด่าเยอะมาก รู้สึกท้อเลยตอนนั้น จากที่เราทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ ขาดความมั่นใจ เพราะเราโดนคนอื่นด่า คนที่เราไม่รู้จัก ด่าว่าเราก็ทำให้เราท้อ
ตอนนั้นก็ถอดใจที่จะไม่เอาแล้ว ถ้าเราเป็นได้แค่นี้ แล้วอุ้มจะพึ่งเราได้ยังไงก็เลยไปคุยกับอุ้ม ตอนนั้นหลังจากจบงานแถลงข่าวยังจำได้ ไปกินเนื้อย่างกับทีมงานไม่อร่อยเลย ไม่รู้สึกว่าอะไรอร่อยเลย คิดอยู่ในใจคืออยากออกแล้ว ไม่อยากเอาความหวังของคนไทยมาทิ้งไว้ ไม่เอาแล้ว ไม่ทำแล้ว”
โดนวิจารณ์อย่างหนัก จนคิดจะถอย แม้อุ้มจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ก็ยังแอบไปนั่งร้องไห้ในห้องเพียงคนเดียว
“ขึ้นลิฟต์มา พอลิฟต์ปิดลงก็คุยกับอุ้มว่า ถ้าอุ้มมีใครที่ดีกว่า เลือกมาแทนพี่เลยนะ พี่อยากทำ พี่อยากเป็นล่ามก็จริงแต่นี่มันเป็นชีวิตของอุ้ม ถ้าเอามาทิ้งกับพี่มันก็ไม่ใช่ ตอนที่อยู่กับอุ้ม 2 คน ไม่ร้องไห้นะ เขาก็บอกว่า มาถึงขนาดนี้แล้ว สู้ไปด้วยกันดิ เราก็ก้าวผ่านมาได้ สู้ใหม่
ตอนนั้นคือรู้สึกดีใจ โล่งอกที่เขายังจะไว้ใจแล้วก็อยากจะพึ่งเราอยู่ แต่พอกลับเข้าไปในห้องคนเดียว ความเคว้งคว้างอะไรมันเข้ามา ทำให้เรารู้สึกท้อ ร้องไห้เลยตอนนั้น”
กระทั่งถึงวันที่ทางสโมสรหมดข้อผูกมัดต่อมิวในการว่าจ้าง ผลของความพยายามของล่ามก็ปรากฏออกมาให้เห็น เมื่อนักค้าแข้งคู่ใจอย่างอุ้ม ยืนยันว่าล่ามที่จะเซ็นสัญญาจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากมิวคนเดียว
“เขาน่าจะพูดกับทางสโมสร ก็รู้สึกดีใจมาก แต่ตอนที่จบจากโกเบ มีความคิดไว้ว่าจะไม่ไปทำงานที่อื่น ไม่ไปเป็นล่ามให้คนอื่น จนกว่าอุ้มจะกลับมาค้าแข้งอีกครั้ง แต่ในความรู้สึกลึกๆ ของเรา อุ้มน่าจะได้อยู่ต่อ จนสุดท้ายก็ได้อยู่ต่อ ก็เลยมีความหวัง เลือกที่จะรอถึงเขาจะเลือกเราไม่เลือกเราก็ตามเราก็รอก่อน เพราเราเคยทำงานด้วยกันมาทั้งปี อะไรที่เคยทำไม่ได้เราก็ทำได้ ก็เลยอยากจะรอ รอจนถึงประมาณกลางเดือนมกราคมปี 2019 เขาก็เลยติดต่อมา”
center>
อาชีพที่คนคิดไม่ถึงว่า จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักฟุตบอลมืออาชีพที่เป็นความหวังของคนไทยหลายคน ช่วยติดต่อ และพูดคุย ทำงานอย่างหนักไม่แพ้นักฟุตบอลเช่นกัน
“ตอนนั้นคือกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ตอนผ่านอะไรหลายๆ อย่างเรื่องการปรับตัวเข้าหาอุ้มบ้าง การปรับตัวแปลกที่บ้างในการทำงาน มาสโมสรใหม่ด้วยทำให้เราเจอการทดสอบ ทำให้โค้ชเชื่อใจ กว่าจะมาเป็นผู้เล่นตัวจริงได้ เราต้องทำงานหนักมาก แล้วพี่กับอุ้มก็ต้องทำงานประสานงานกันอยู่ตลอด
วินาทีที่อุ้มยิงเข้า ทำให้ล่ามคนดังรู้สึกปลดล็อกตัวเอง หลังจากที่กดดัน และตั้งใจทำงานมาอย่างหนัก จนถึงขั้นร้องไห้ด้วยความดีใจ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนยิงเข้าประตูเอง แล้วยิ่งไปกว่านั้นยังพาทีมเป็นแชมป์อีกด้วย
“ตอนที่เขายิงเข้าเหมือนมันปลดล็อกทุกอย่างที่เราอดทน ที่เราสร้างมา ในเวลาปีสองปี มันทำให้เรารู้สึกโล่งอก สบายใจ เหมือนตัวเองเป็นคนยิงเองก็ว่างั้นเถอะ ดีใจ น้ำตาไหลโดยไม่รู้สึกตัว ปลาบปลื้มดีใจมาก
ส่วนตอนที่ทีมเป็นแชมป์ก็รู้สึกดีใจ ดีใจมากตอนนั้น เราไปยืนกลางสนามท่ามกลางคน 60,000-70,000 คน จากแต่ก่อนเราเคยไปอยู่ในสแตนด์ ไปยืนอยู่จุดที่มันดูยากๆ แต่พอวันนั้นเราได้แชมป์ด้วย แล้วไปยืนกลางสนามเสียงเชียร์อะไรหลายๆ อย่าง อยากจะบันทึกไว้ในหัวเลยตอนนั้น
หลายๆ คนเขาก็จะเอากล้องมาถ่ายกับครอบครัวเขา แต่พี่เก็บไว้ในหัว รอบๆ แล้วมันก็มีพลุดังขึ้นมาก็เงยหน้าขึ้นไปดูบนฟ้าก็รู้สึกปลื้มใจ ร้องไห้ น้ำตามันไหล เรามาถึงจุดนี้แล้ว จุดสูงสุด มันสวยงามขนาดนี้เลยเหรอวะ”
ไม่ใช่แค่ “รู้ภาษา” แต่ต้อง “รู้ใจ” กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับชายคนนี้ เพราะการเป็นล่ามไม่ใช่แค่การใช้ภาษาเพียงอย่างเดียว หัวใจสำคัญคือต้องทำให้นักฟุตบอลเชื่อใจด้วย เพราะอุ้มนั้นเป็นคนที่เข้าถึงยากพอสมควร “เราไม่ใช่แค่ซัปพอร์ตเขา แต่ต้องซัปพอร์ตครอบครัวเขาด้วย เพราะคน 2 คนที่ไม่เคยรู้จัก มาทำงานร่วมกัน ต้องทำให้เขาสนิทใจก่อนมากกว่า มันก็ยังยากอยู่ที่จะทำให้คนคนหนึ่งเชื่อเรา แต่ตอนนี้มันก็ไม่ได้ยากแล้ว ก็มีจุดนั้นจุดเดียวในการทำงานล่าม อย่างแรกเราต้องทำความเข้าใจนักฟุตบอลก่อนว่า คนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง นิสัยเขาเป็นไงบ้าง จะต้องศึกษาให้ดี ก่อนที่เราจะทำงานล่าม เกือบครึ่งปีกว่าจะคุยกันสนิทได้ นานเหมือนกัน เพราะว่าเขาก็มีตัวตนของเขาเหมือนกัน แล้วเขาก็ไม่ใช่นักฟุตบอลธรรมดา เป็นนักฟุตบอลทีมชาติ ความหวังของคนไทยด้วย ก็ยากขึ้นหน่อย เป็นคนเข้าถึงค่อนข้างยากแต่ว่าถ้าคุยแล้วสนิทกันก็เป็นกันเองมาก เราว่าการที่เป็นล่ามไม่ใช่แค่การใช้ภาษาอย่างเดียว อีกอย่างคือเราต้องเข้าถึงตัวนักฟุตบอลก่อน เราอาจจะพูดได้ สื่อสารกันได้ เราแปลออกมาจากโค้ชก็จริง แต่ว่าสิ่งที่เราพูดออกไปเขาจะเชื่อเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าเราสามารถดึงความสนใจของเขาได้ แล้วทำให้เขาเชื่อใจเราได้ มันก็จะส่งผลต่ออาชีพของเขาด้วย แล้วมันก็ส่งผลต่องานของเราด้วย ส่งผลให้ทั้งสองคน” |
ฝ่าคำดูถูก “ไม่มีทางเป็นไปได้”
“เขาบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ถึงอยากทำ ก็ได้แค่อยากเท่านั้น คนที่ทำงานโรงงานแต่งรถจะไปทำงานเป็นล่าม มันห่างไกลคนละโลก ตอนนั้นเราก็ไม่รู้สึกท้อนะตอนที่เขาพูด ทำให้เราฮึดสู้ขึ้นมาเลย ก็คอยดูเดี๋ยวจะทำให้ดู”
หลังจากเจอคำดูถูกจากคนรอบข้าง ทำให้ฮึดสู้ ด้วยความที่ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ ทุกอย่างที่เคยทำมาในชีวิต ผู้ชายคนนี้จะพูดให้คนรอบข้างฟังก่อนเสมอว่ามีความฝันอยากจะทำอะไร เพื่อใช้คำพูดนั้นมาเป็นแรงกดดัน และเป็นแรงผลักดันให้สู้ และทำให้ได้
“เราอยากจะทำงานเกี่ยวกับฟุตบอล เพราะว่าเราชอบ ตอนนั้นก็เล่นฟุตบอลมาด้วย ฟุตบอลหมู่บ้าน อบต.บ้านเราเนี่ยแหละ เราก็เป็นประตู เคยเล่นฟุตบอลก็เอาประสบการณ์ตรงนี้ ถ้าเราได้เป็นล่ามได้ทำงานกับนักฟุตบอลที่เราเคยดู เคยชม น่าจะพิเศษมาก”
[อดีตผู้รักษาประตู]
จนเมื่อปี 2016 ทีมชาติไทย มาแข่งกับญี่ปุ่น ได้มีโอกาสเข้าไปดู ได้เห็นฝีเท้าของนักเตะทีมชาติไทย ทำให้รู้สึกว่าชอบมากๆ เพราะด้วยความที่ชื่นชอบฟุตบอลในสายเลือดอยู่แล้ว แถมตัวเองยังชอบเล่นฟุตบอลอีกด้วย แม้ไม่เก่งก็ตาม จากนั้นเป็นต้นมาจึงมีความคิดว่าอยากจะทำงานเกี่ยวกับฟุตบอล จนได้มาเป็นล่าม
“ตอนนั้นมีฟุตบอลคัดเลือกบอลโลก 2018 ที่ญี่ปุ่น ส่วนตัวเราก็ดูฟุตบอลมาอยู่แล้วแหละ แต่ไม่เคยเข้าไปดูในสนามจริงสักที พอดีมีฟุตบอลไทยกับญี่ปุ่น เขามาเตะที่ สนามไซตามะ สเตเดียม เราก็อยู่ไซตามะด้วยก็เลยลองไปดูดีกว่า ก็ลองไปซื้อตั๋วก็ไม่มีตั๋วให้ซื้ออีก ลองหาซื้อในเน็ตอาจจะมีตั๋ว ก็เลยเจอตั๋วผี ตามจริงมันราคาแค่ 3,000 เยน (ประมาณ 845.11 บาท) แต่ซื้อมาตอนนั้น 15,000 เยน( ประมาณ4,225.55 บาท)
พอได้ไปดูแล้วมันคึกใจ มันเร้าใจ มันแบบทำให้อะดรีนาลีนในเลือดในตัวเรามันสูบฉีดขึ้นมา อยากทำงานเกี่ยวกับฟุตบอล รู้สึกดีมาก ที่ได้เข้าไปในสนาม ได้เข้าไปดู นี่แค่มาดูเรายังรู้สึกดีขนาดนี้ สมมติว่าถ้าเราได้ไปยืนอยู่กลางสนามมันจะรู้สึกยังไง แล้วก็รู้สึกอยากจะเปลี่ยนงานไปด้วย โอเคตัดสินใจ ยังไงก็จะทำให้ได้ พี่ก็เลยปรึกษาหลายๆ คน แต่เขาก็บอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้”
เมื่อมีข่าวว่านักฟุตบอลในเมืองไทยจะไปค้าแข้งที่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้ล่ามแห่งแดนซามูไรมีโอกาสยื่นใบสมัคร เพื่อตามฝัน
“ตอนนั้นมีข่าว “เจ-ชนาธิป สรงกระสินธิ์” จะมาเล่นฟุตบอลที่ญี่ปุ่น ก็ลองสอบถามไปดูเขาก็มีล่ามมาจากเมืองไทยแล้ว ตอนนั้นก็คือแบบเราก็เสียโอกาสไป แล้วก็รออีกปี ก็มี “มุ้ย-ธีรศิลป์ แดงดา” เขาจะมาเล่นที่ซานเฟรซ ฮิโรชิมะ ก็ไปลองสมัครดู เขาก็บอกว่ามีล่ามมาแล้ว
ทีนี้ก็มีข่าวอุ้มจะมาที่โกเบ(วิสเซล โคเบะ) ก็เลยลองโทรไปดู เขาก็บอกว่าไม่รับอีก พี่ก็เลยบอกไม่รับก็ไม่เป็นไร ขอส่งใบสมัครทิ้งไว้ก็แล้วกัน ถ้ามีหรืออยากจะพิจารณาก็ติดต่อมา ก็ฝากพิจารณาด้วย ก็ส่งใบสมัครไป เขียนเรียบเรียงประสบการณ์ และสิ่งที่เราอยากจะทำ 3 หน้ากระดาษ
เขาก็หาล่ามอยู่แล้วแหละ แต่เขาก็หาแค่ภายใน วงในกับนักฟุตบอลคนนอกไม่สามารถเข้าไปได้ ก็เลยลองโทรไป โชคดีที่มีคนเขาสนใจในประวัติ และประสบการณ์ที่เราผ่านมา เขาก็เลยโทรมาขอสัมภาษณ์ดู ก็เลยลองไปสัมภาษณ์ดู จำได้วันนั้นเป็นวันที่ 26-27 ม.ค. ไปสัมภาษณ์เขาก็บอกเลยว่า มาเริ่มงานด้วยกันวันที่ 1 ก.พ. เลย ถ้าเราพลาดโอกาสนั้นก็คงจะไม่มีอีกแล้ว เราก็เลยติดสินใจ แล้วไปลาออกจากงาน”
ล่ามแห่งแดนปลาดิบ ยังเล่าถึงชีวิตที่มากกว่าการเป็นล่าม โดนใช้ให้ทำงานทุกอย่าง แม้แต่ขัดส้วมก็ทำมาแล้ว
“เราเข้าไปทำงานเอง แล้วเราไม่รู้เรื่องฟุตบอลเลย ไม่เคยทำงานเกี่ยวกับเรื่องฟุตบอลเลย เขารับเราเป็นล่ามก็จริง แต่ว่าเขาให้เราทำทุกอย่าง กวาดสโมสร ทำความสะอาดห้องน้ำ กรอกน้ำให้นักฟุตบอล เช็กลมฟุตบอล ล้างส้วม ล้างห้องอาบน้ำ ขัดคอเสื้อ ขัดกางเกง ต้องทำทุกอย่าง ต้องไปแต่เช้าแล้วก็กลับดึก เหนื่อยมาก
จ้างเรามาเป็นล่าม ทั้งที่เราต้องรับผิดชอบอุ้ม พอเรากลับไปไม่ใช่ว่างานเราจะเสร็จ เพราะว่านักฟุตบอลเขาจะเรียกเราตอนไหนก็ไม่รู้ใช่ไหมครับ เราเหนื่อยจากล่ามแล้วยังต้องมาเหนื่อยกับงาน management เราต้องไปสแตนบายเพราะเขาไม่ชินกับสภาพในญี่ปุ่น”
เด็กบ้านนอก-ยากจน-ทำงานส่งตัวเองเรียน
แม้จะเป็นลูกอีสานก็จริง แต่ก็จากเมืองไทยไปนานกว่า 19 ปี ชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่อายุ 15 ปี เพราะพ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่เกิด แม่แต่งงานกับคนญี่ปุ่นตั้งแต่เขาอายุ 7 ขวบ
“แม่ก็เป็นช่างเสริมสวย พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่เกิด เป็นคนบึงกาฬ แม่ก็เลี้ยงมา มีพี่สาวคนหนึ่ง มีน้องต่างพ่อคนหนึ่ง ตอนที่แม่แต่งงานใหม่ตอนนั้นอายุแค่ 7 ขวบเอง ตอนเด็กๆ ก็ใช้ชีวิตเหมือนเด็กบ้านนอกทั่วไป ไม่มีอะไรที่มันสนุกสนานนอกจากการเล่นของเล่น ต่อยมวย เล่นลูกแก้ว เต้นยาง”
สิ่งที่ทำให้น้อยใจในชีวิตคือไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ และความทรงจำในวัยเด็กที่จำติดตาคือเห็นแม่ต้องมาแอบนั่งกินข้าวกับน้ำปลา ในขณะที่ตัวเองได้กินอาหารดีๆ
“ตอนนั้นเรากับพี่สาวเข้านอนแล้ว สงสัยว่าทำไมแม่ไม่เข้านอนสักที เด็กมันก็อยากนอนกอดแม่ ก็ออกไปส่องดูแม่ดีกว่า พอออกไปเห็นแม่กินข้าวกับน้ำปลา ทั้งที่เรากับพี่สาวได้กินลาบเนื้อ ได้กินไข่ตุ๋น ได้กินของอะไรที่มันดีๆ ก็ร้องไห้เลย สงสารแม่ รู้สึกว่าแม่ทำเพื่อเราขนาดนี้เลยเหรอวะ ตอนนั้นเราเป็นเด็กด้วย ทำอะไรไม่ได้มาก ตอนนี้ก็ยังจำติดตาอยู่เลยภาพที่แม่นั่งกินข้าวกับน้ำปลา
ตอนเด็กไม่ได้คิดว่าตัวเองลำบาก แต่สิ่งที่น้อยใจคือไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ก็เลยรู้สึกขาดตรงนี้ไป แล้วก็ไม่มีของเล่นเหมือนกับคนอื่น สมัยก่อนจะไปดูทีวีก็ต้องไปดูที่ร้านค้า ร้านค้าเขาจะมีทีวีให้ดู แล้วก็ไปเกาะรั้วดู จะเปลี่ยนช่องก็ไม่ได้(หัวเราะ) เพราะว่าเป็นบ้านเขา บ้านเราไม่มี ถ้ามองย้อนกลับไปตอนนั้นฐานะทางบ้านค่อนข้างจนแต่เราไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะว่าแม่ให้เราทุกอย่าง เขาไม่ทำให้เรารู้สึกด้อยกว่าคนอื่น ก็เลี้ยงให้เหมือนกับเด็กทั่วๆ ไป ”
ล่ามแห่งแดนปลาดิบยังเล่าอีกว่า ตั้งแต่เด็ก เขาทำงานมาหลายอย่าง ทั้งเป็นพนักงานในบริษัท์รถยนต์ เสิร์ฟอาหาร ทำงานในเซเว่น รวมทั้งนักแสดงก็ผ่านมาหมดแล้ว
[เคยออกรายการเกมโชว์ชื่อดังของญี่ปุ่น ในฐานะนักแสดง]
“มาญี่ปุ่นครั้งแรก พี่อายุ 15 ย่าง 16 ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย ต้องไปเรียนภาษาญี่ปุ่น 1 ปี แต่พี่เรียนจริงๆ ครึ่งปี ต้องไปเรียน ต้องทำงานด้วย ทำงานก่อนเก็บเงินแล้วค่อยไปเรียนภาษาญี่ปุ่น อายุ 17 ปีพี่ก็เข้าไปสอบไฮสคูล
ก็ทำงานเก็บเงินเอง แม่บอกว่าลองทำดูเป็นการฝึกฝนชีวิตตัวเอง เรามาอยู่ญี่ปุ่นต้องฝึกฝนทุกอย่าง เราอยู่เมืองไทยเราสบายไม่ต้องทำอะไร คือไม่ต้องทำงานมากมาย อยู่ที่นี่ต้องฝึก ต้องคิดเป็น ต้องเป็นทุกอย่าง เพราะการจะใช้ชีวิตในญี่ปุ่นมันยาก
ตอนแรกๆ ไปทำงานที่อะไหล่เครื่องบิน คอยไปรับคม ใช้ตะไบลับเหลี่ยมไม่ให้มันคมทำอยู่นั่นแหละ น่าเบื่อมาก(หัวเราะ) นั่งลับเหลี่ยมอยู่วันละ 1,000 ชิ้น ตอนนั้นสำหรับเด็ก 15 ปี ถือว่าหนักเหมือนกันนะ ตอนนั้นได้ชั่วโมงละ 690 เยน (ประมาณ194.38 บาท) ถ้าคนญี่ปุ่นทำจริงๆ เขาจะได้ชั่วโมงละ 750 เยน (ประมาณ211.28 บาท) เราก็ได้น้อยกว่า
เหมือนโชคชะตาเล่นตลก งานหมดต้องออกจากงานไปหางานใหม่ ถึงแม้จะมีพ่อเลี้ยงเป็นคนญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้นั่งงอมือ งอเท้า ต้องช่วยครอบครัวทำงานเช่นกัน และต้องแบ่งเวลาจากการทำงานไปเรียนด้วย
“เข้าทำงานลับเหลี่ยมรถยนต์มาได้เดือนหนึ่ง งานก็หมด พี่ก็เลยต้องลาออกไปหางานใหม่ เป็นงานอะไหล่รถมอเตอร์ไซค์ เป็นงานเจาะรูเฉยๆ ตอนนั้นงานหมดก็เคว้งเหมือนกัน คือถ้างานหมด เราไม่ได้เป็นคนที่ฐานะดีด้วย เรามาอยู่ที่นี่เราก็ทำงานไปด้วย แม่มาแต่งงานกับคนญี่ปุ่นก็จริงอยู่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะมีศักดิ์เหมือนคนอื่น ก็ต้องทำงาน เขาก็แนะนำงานมาให้ ลองทำดูหรือเปล่า
ตอนนั้นทำงานอะไหล่มอเตอร์ไซค์อายุ 16 ปี ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดได้ชั่วโมงละ 800 เยน ( ประมาณ225.36 บาท) วันหนึ่งก็ทำ 8 ชั่วโมงทำงานจันทร์-ศุกร์ ไปเรียน เสาร์-อาทิตย์ ตอนเช้าก็ไปเรียน ปั่นจักรยานไปเรียน บ้านจากที่ทำงานใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที
แต่แล้วชีวิตก็พลิกผันอีกครั้ง เมื่อประสบอุบัติเหตุรถแหกโค้ง ต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างมาก ทำให้ต้องออกจากโรงเรียน เพราะไม่มีเงิน
“ตอนนั้นซื้อสกายไลน์มาขับ ยังเป็นนักเรียนอยู่ตอนนั้นอายุ 20 ปี ซื้อผ่อนมาได้ 2 วัน พอวันที่ 2 แหกโค้งเลย ต้องเสียเงินค่าซ่อม แล้วก็ค่าผ่อน ก็ไม่มีเงิน เรียนได้ครึ่งปีก็ลาออกเลย เรียนไม่จบคอร์ส เพราะเราไม่มีเงิน จะพึ่งแม่อย่างเดียวก็ไม่ได้ หนี้สินที่เราสร้างขึ้นมาก็ต้องจ่ายเอง ก็เสียดายเหมือนกันที่เรียนไม่จบ ตอนนั้นเป็นก็หนี้ประมาณ 3,500,000 เยน (ประมาณ 988,210.08 บาท) โชคดีช่วงนั้นไม่เจ็บอะไรเลย”
โรงเรียนชีวิต สอนให้อดทน
“ประสบการณ์ทุกอย่างที่เราได้มา มาจากทำงานที่ฮอนด้า เราตั้งใจทำ ตั้งใจที่จะเอาชนะใจคนอื่น เอาชนะใจหลายๆ คน มันทำให้เรามีความอดทน แล้วก็ตั้งใจที่จะทำสิ่งนั้นให้ได้ เพราะเราเคยเป็นคนไม่ชอบอดทน เป็นคนขี้เบื่อ แล้วก็สามารถทำได้ มันเหมือนเป็นโรงเรียนสอนการใช้ชีวิต”
ก่อนที่จะมาเป็นล่าม ก่อนหน้านั้นล่ามแห่งแดนปลาดิบทำงานที่บริษัทฮอนด้ามานานถึง 12 ปี รู้สึกเบื่อชีวิตที่จำเจ ต้องตื่นเช้า กลับบ้านดึกทุกวัน จึงอยากลองเปลี่ยนชีวิตตัวเอง เปลี่ยนอาชีพ ลองทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าจะทำได้
“ทำงานฮอนด้ามา 12 ปี ก็หนักอยู่เหมือนกัน งานช่าง งานแต่งรถ ซ่อมรถ ก็ศึกษามาจากคนที่มีความรู้มากกว่าเรา ถึงเราจะเรียนที่ฮอนด้ามา 1 ปี แต่เราเรียนไม่จบ เกิดอุบัติเหตุก่อน แล้วเราก็ยังมีความใฝ่ฝันอยากทำงานเกี่ยวกับรถเพราะเราชอบรถ ก็เลยไปสมัครงานที่ฮอนด้า
ตอนไปสมัครยังห้าวๆ อยู่เลย ตอนไปสมัครผมยังเรียบๆ อยู่เลย พอเขารับเข้าทำงานไม่รู้เป็นบ้าอะไรตอนนั้นไปดัดผม ทำผมฟูๆ ก็ไปสมัครทำ ลองทำดู เขาก็สบประมาทว่าไอ้นี้ทรงผมแบบนี้คงอยู่ได้ไม่เกิน 3 วันหรอก”
หลังจากบริษัทรับเข้าทำงาน ก็โดนดูถูกสารพัด โดนไล่ให้กลับบ้านทุกวัน แต่ด้วยเลือดนักสู้ ทำให้เขากัดฟันสู้ อดทน พิสูจน์ตัวเองจนเพื่อนร่วมงานยอมรับ
คนไทยเราซีเรียลน้อยกว่าคนญี่ปุ่นในเรื่องงาน ไม่จริงจังเท่าคนญี่ปุ่นเขาก็เลยดูถูกทุกอย่าง อย่างเช่น เขาให้ทำงานแบบเดียวกัน กับรุ่นเดียวกัน อย่างเช่นติดเครื่องเสียง ลองติดพร้อมกันกับเพื่อน เพื่อนเสร็จก่อน เราเสร็จทีหลังนั่นแหละเขาก็ดูถูกเรา เป็นคนไทยมันก็ต้องช้า อย่างนี้แหละ
เขาด่า เขาว่า เขาดุ ยังไงก็ตามเราก็ต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเราอยากจะทำงานนี้จริงๆ โดนไล่ให้กลับบ้านทุกวัน โดนว่าทุกวัน มึงไม่ต้องมานั่งใกล้กู ตอนนั้นก็ยังจำได้เข้าไปติดท่อไอเสียรถยนต์ อยากจะดูว่าเขาทำยังไงก็เลยมุดเข้าไปดูด้วย เขาก็บอกว่ามึงไม่ต้องมุดเข้ามากูไม่อยากอยู่ใกล้มึง เขาพูดอย่างนี้เลย เขาไม่อยากอยู่ใกล้เราก็ถอยออกมา แล้วเราก็ค่อยส่องหน้าเข้าไปดูว่าเขาทำยังไง เราก็จำวิชาเขา ถึงเขาจะไม่ชอบเราก็ตาม”
แม้จะรู้สึกแค้นในใจมาก ที่คนญี่ปุ่นไม่ยอมรับ แต่ในตอนนั้นก็ทำได้เพียงแค่อดทนเท่านั้น เพราะถ้าไม่ทำงานก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้
“ก็รู้สึกแค้นเหมือนกัน และเสียใจมาก ก็เราไม่ชอบยอมใครอยู่แล้ว ใครจะด่า จะว่ายังไงก็ตามเราจะสวนกลับหมด แต่ว่านี่มันเป็นการทำงาน มันเป็นชีวิตของเรา ถ้าเราไม่ทำงานก็คือไม่มีเงินใช้ แล้วเราก็ไม่สามารถใช้ชีวิตในญี่ปุ่นได้
เราต้องอดทนตรงนี้ ถ้าเราผ่าตรงนี้ไปได้ ไม่แน่เขาอาจจะยอมรับเรามากขึ้นก็ได้ เพราะว่าหลายๆ อย่าง ในชีวตที่ใช้ชีวิตในญี่ปุ่นก็เป็นแบบนี้แหละ ในการเรียน ในโรงเรียน ในไฮสคูลก็เหมือนกันคล้ายๆ กันเลยสังคม สังคมตั้งแต่ไฮสคูลมา ตั้งแต่เป็นพนักงานประจำก็เหมือนกัน คล้ายๆ กัน ก็เลยเราลองอดทนดูดีกว่า
เราก็พิสูจน์ให้เขาเห็น เขาจะด่าเรายังไง ก็เดินหน้าไปหาเขาสอนงานผมหน่อยครับ เดินเข้าไปแล้วก้มหัวบอกว่าอยากทำจริงๆ ก็บอกว่าโอเนไกชิมัส อยู่อย่างนั้น
ก็ประมาณปีหนึ่งกว่าจะยืนด้วยขาตัวเองได้ ทำงานจนไม่มีใครมาคุมได้ ก็คือปล่อยให้เราทำงานเอง คือคนญี่ปุ่นเข้าใจง่ายอย่างหนึ่ง ถ้าเราคุยกับเขาแล้วเขาตอบเรา คุยกันแล้วมองตา ก็แสดงว่าเขากำลังคุยกับเราอยู่ แล้วก็เราพูดอะไรไปถ้าเขาหยอกเล่นกับเราก็โอเค เพราะเขาไม่เคยอยากเล่นกับเราเลย ตั้งแต่วันแรกจนมาถึงเกือบปีเขาไม่เคยพูดไม่เคยหยอกเล่นกับเรา ก็ดีใจเหมือนกัน
ในการใช้ชีวิตไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่นหรอก ในที่ไหนก็ตามถ้าเราคิดว่าเราอยากจะทำ เราต้องทำ เราต้องพูด พูดออกไปให้มันเป็นแรงบันดาลใจ คนเขาจะดูถูกเราก็ตาม เราต้องพูดให้เขารู้ก่อนว่าเราจะทำสิ่งนี้แล้วเราเอาสิ่งที่เขาคนรอบข้างเราพูด แล้วก็เอาสิ่งที่เราพูดมาเป็นแรงบันดาลใจให้เราทำให้มันสำเร็จ แล้วก็คนที่ใช้ชีวิตอยู่ญี่ปุ่นหรือใช้ชีวิตอะไรก็ตาม คนที่สู้ไม่มีใครทิ้ง ไม่มีใครมองข้ามคนที่สู้ชีวิต”
แม้อาชีพล่ามจะเป็นอาชีพในฝัน แต่ค่าตอบแทนได้แค่ 1 ใน 3 จากงานประจำที่เคยได้รับ ถือว่าได้น้อยกว่าเดิมเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ตั้งหน้ายอมรับมันเพราะว่าได้เลือกแล้ว ถือเป็นการลงทุนชีวิตครั้งใหม่
ถ้าเรามีโอกาสในการทำงานถึงเราจะได้เงินแค่ 1 ใน 3 จากที่เราจะได้รับก็ตาม ถือเป็นการลงทุนดีกว่า เป็นการลงทุนชีวิต ทำอะไรมันก็ลงทุนอยู่แล้ว คิดแบบนี้ เราลองลงทุนทำดู เตรียมตัวแล้วว่าเราอยากจะทำฟุตบอล
ทำงานฮอนด้าได้เงินมากกว่าล่ามอยู่แล้ว ในความคิดพี่ เพราะเราเริ่มงานตั้งแต่เด็ก แล้วอีกอย่างเราไม่เคยเป็นล่ามด้วยถ้าเราเริ่มต้นจากล่ามมันต้องได้น้อยกว่าอยู่แล้ว ปีแรกได้ค่าตอบแทน 2,200,000 เยน (ประมาณ 621,160.62บาท) ต่อปี 11 เดือน ส่วนรอบนี้บอกไม่ได้ ก็ถือว่าได้เยอะขึ้นใกล้เคียงกับเงินที่ทำอยู่ฮอนด้า
ติดหนี้พนัน จนเหลือเงินในบัญชี 4 บาท
“เป็นคนที่แย่มาก ทั้งกินเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน มีช่วงหนึ่งที่ทำงานฮอนด้าอยู่เนี่ยแหละ เบื่อจังขอออกดีกว่า ออกไปทำงานอีกที่หนึ่งมันไปได้ไม่ดีเท่าไหร่ มันเป็นงานชนิดเดียวกันก็จริงอยู่ แต่ว่ามันใช้เงินเยอะ ทั้งค่าเช่าบ้าน ทั้งอะไรหลายๆ อย่าง จนตอนนั้นก็เล่นการพนันไปด้วยจนเงินในบัญชีของเราเหลือ 16 เยน (ประมาณ 4.51 บาท)”
ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นคึกคะนอง อยากรู้อยากลอง คิดว่าถ้าเงินหมดวันนี้ พรุ่งนี้ยังไงก็หาได้ จึงไม่มีความคิดที่จะเก็บหอมรอบริบไว้ใช้ในอนาคต
“ตอนนั้นอายุ 23-24 ปี ทำงานที่ฮอนด้าเมื่อเทียบแล้วได้เงินมากกว่าคนอายุรุ่นเดียวกันประมาณ 3-4 เท่า ถ้ารวมๆ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเลขประมาณ 7,200,000 เยน (ประมาณ2,028,261.70 บาท) ต่อปี
เงินตอนนั้นมีเยอะก็จริง ก็มีความสุขในช่วงหนึ่ง เราก็คิดว่ามันน่าจะได้มากกว่านี้ก็เอาไปเล่นการพนัน ไปกินเหล้า ไปร้านคาราโอเกะบ้าง ไปเที่ยวสาวๆ บ้างๆ ก็ผู้ชายเนอะ ก็ไปเที่ยวกับรุ่นพี่
ก็เสียการพนันไปประมาณ 400,000 เยน (ประมาณ 11,2681.21 บาท) ต่อวัน แล้วก็คิดว่าเสียวันนี้พรุ่งนี้เอาคืน (หัวเราะ) ความคิดในตอนนั้น แย่มาก
ได้เงินมาก็ไปซื้อรถคันหนึ่ง ซื้อเจ็ตสกี แล้วก็คิดว่ามันต้องมีรถลากเจ็ตสกีสิวะ ก็เลยซื้อรถมาอีกคันหนึ่ง ก็มีรถ 2 คัน คันหนึ่งไว้ขับไปทำงาน ขับเล่น คันหนึ่งเอาไว้ลากเจ็ทสกีไปทะเลสาบ ใช้ชีวิตแบบหรูหราฟู่ฟ่า ใช้ชีวิตเกินตัวเอง เด็กด้วยตอนนั้น ไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบ ก็เป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราเก็บเงินตั้งแต่ตอนนั้นป่านนี้เราสบายแล้ว คงได้เปิดกิจการของตัวเองแล้ว”
จากที่มีเงินในบัญชีหลายล้าน เรียกได้ว่าชีวิตในตอนนั้นติดศูนย์กันเลยทีเดียว เพราะการใช้ชีวิตเกินตัว ทำให้แม่ต้องเสียใจ ร้องไห้
“ตอนที่เหลือเงิน 16 เยน แม่โกรธมาก แต่ก็เป็นห่วง มีหนี้บัตรเครดิตด้วย เคยคิดจะหนีด้วยนะ หนีแบบหายตัวไปเลย หนีจากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่อยากเจอแล้ว ตอนที่เป็นหนี้อายุ 28 ปี ก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ
ตอนนั้นแม่เสียใจมาก บ่นทุกวัน แม่ก็แนะนำเอาไปฝากธนาคาร ทำเป็นประกันอะไรดีไหม ไอ้เราก็อยากเอาไว้เที่ยว ตอนนั้นความคิดของคนโง่ ถ้าเก็บไว้แล้วกลัวเงินมันเน่า (ยิ้ม) เก็บเงินไว้เงินมันจะเน่าก็ต้องเอาไปใช้ก่อนมันจะเน่า คำพูดของวัยรุ่นตอนนั้น ก็คือเก็บไว้ทำไมเดี๋ยวมันเน่า แม่ก็โกรธใหญ่เลย
มีครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเราก็ทำงานมันหนัก มันเหนื่อยอยู่แล้วไม่อยากให้ใครมาสน มายุ่งกับเรา วันนั้นแม่เดินเข้าในห้องของเรามาปลุก แม่ก็ไม่รู้ว่าเราทำงานหยุดวันไหนบ้าง วันนี้วันหยุดเข้ามาทำไมคนจะนอน ตะโกนใส่แม่ ออกไป
แม่ก็ร้องไห้เลย แม่เสียใจ อุตส่าเป็นห่วง ตอนนั้นรู้สึกผิดมาก แต่ก็แกล้งฉุน ในใจรู้สึกผิด เพราะเราก็รักแม่มาก ไอ้เราตอนนั้นก็เด็กมันห้าว ก็ไม่ได้ไปขอโทษ ปล่อยไป แม่ก็ไม่ได้คุยกับเรามาประมาณ 1 อาทิตย์ ก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันที่ทำให้คนที่รักเราร้องไห้”
กว่าจะดึงตัวเองกลับมาได้ ต้องผ่านการเรียนรู้ชีวิตอย่างหนักหน่วง ไม่มีเงินแม้แต่จะกินข้าว ต้องของานทำ ยืมเงินคนอื่นใช้
“มีคนที่ดึงเรากลับมา เขาเป็นเจ้าของร้านขายรถมือสอง BM ช่วงนั้นว่าง ไม่มีเงิน ไม่มีงานทำ ก็ไปของานเขาทำ เพราะเคยซื้อรถที่ร้านเขาด้วย เขาก็ชวนไปกินเหล้าแต่เราก็บอกว่าไม่มีเงิน เขาก็บอกว่าไม่มีเงินก็ตามเดี๋ยวจะพาไปเที่ยว วันนั้นตอนเที่ยงเขาก็พาไปเลี้ยงข้าวที่ร้านอาหารที่ค่อนข้างหรูหน่อย พอดึกๆ เขาก็พาไป เที่ยวคาราโอเกะ อะไรแบบเดิมๆ แต่ว่าเที่ยวแบบใช้ความคิด ก็เลยฉลาดมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่เที่ยวสะเปะสะปะ
สนุกไหม เขาถาม เราก็ตอบสนุก แล้วอยากเที่ยวแบบนี้อีกไหม อยากนะ เขาก็พาไปเที่ยวทุกอย่าง เขาก็ให้ยืมเงิน มีเงินเก็บแล้วค่อยเอามาคืนเขา ก็เลยคิดว่าถ้าเราอยู่แบบไม่มีเงิน และไม่ทำงานด้วย เป็นคนที่แย่มากๆ สูบบุหรี่จัดด้วยตอนนั้น เราแย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ ที่จะต้องมาขอคนอื่นกิน กลับมานั่งคิดใหม่”
จากนั้นก็ทำให้คิดได้ ฮึดสู้ กลับไปตั้งใจทำงานเหมือนเดิม เลิกบุหรี่ เลิกการพนันทุกอย่าง หันมาออกกำลังกายแทนที่จะเข้ากาสิโน
ถ้าเราจะกลับไปอยู่จุดนั้นจริงๆ เราต้องฮึดสู้อีกครั้งหนึ่ง ต้องทำทุกอย่าง กลับไปทำงานหนัก กลับไปอดทนใหม่ เพราะตอนนั้นเบื่อมาก เบื่อความอดทนทุกอย่าง ก็เลยทิ้งทุกอย่างแล้วลาออกมา ก็ต้องกลับไปสู้ใหม่ กลับไปทำใหม่ ก็เลยตัดสินใจ กลับไปทำงาน ตัดสินใจเลิกบุหรี่ด้วย
ก่อนอื่นถ้าเราเลิกบุหรี่เราคงเลิกเล่นการพนันได้ ในความคิดตอนนั้น จากที่เคยสูบบุหรี่ก็เลยเลิก ไปเล่นเวท ไปออกกำลังกายแทน ใช้การออกกำลังกายมาช่วย พอเข้าไปกาสิโนคนสูบบุหรี่เยอะรับไม่ได้ ก็เลยเป็นกลายว่ามาอยู่ที่นี่ทำไมวะ เสียเงินก็เสีย เสียสุขภาพด้วย ก็เลยเลิกการพนันได้เลยตอนนั้น
คนเราถ้าตั้งใจทำอะไร แล้วมันทำสำเร็จมันรู้สึกดีขนาดนี้เลยเหรอวะ อยากจะได้ซิกแพก เราก็ลองทำดู บริหารร่างกายดูก็ทำได้จริงๆ มันสุดยอดความสำเร็จที่เราตั้งไว้ อาจจะเป็นความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม ถ้าเราทำสำเร็จมันจะมีความสุขมาก
คนที่มีความฝันแต่ไม่กล้าลงมือทำ ให้คิดถึงความสำเร็จไว้ อย่างเราอยากเป็นล่ามก็คิดถึงความสำเร็จไว้ก่อน อาจจะทำให้เราเข้าหาสิ่งที่เราฝันไว้ได้ง่ายขึ้น จากที่ไม่กล้าทำก็ลองทำดู เราทำได้ คนอื่นก็ต้องทำได้เหมือนกัน มันไม่มีใครเก่งเกินใครหรอก”
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก “Narit Jampalee”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **