ติดเทรนด์อันดับ 1 หลายวันซ้อน! “ไวรัสโคโรนา” ข่าวจริง-ข่าวหลอก พาสังคมแพนิค หลังยอดผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่สังคมวิจารณ์ “ศักยภาพรัฐบาลไทย” ด้านนักเรียนไทยเดินทางจากอู่ฮั่น แชร์ประสบการณ์หน่วยคัดกรองไทยทำงานหนักจริง เชื่อความสามารถของไทยรับมือโรคระบาดดีที่สุดอันดับ 6 ของโลก!
เทรนด์อันดับ 1 #ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
ถือเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างร้อนแรงที่สุดในสัปดาห์นี้ สำหรับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “โคโรนา” ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรง แถมยังมีข้อมูลออกมาว่าอาจติดต่อทางตาได้ ผ่านท่อน้ำตาไปยังจมูก จากที่ก่อนหน้านี้หลายหน่วยงานให้ประชาชนระวังการติดเชื้อผ่านการไอและจาม
ล่าสุดความตึงเครียดของคนในสังคมทำให้เกิดแฮชแท็กยอดฮิตในโลกทวิตเตอร์ เกี่ยวกับเจ้าไวรัสตัวนี้ตลอดหลายวันที่ผ่านมา แถมยังขึ้นเทรนด์อันดับ 1
โดยมีการพูดถึงเรื่องนี้มากกว่า 1 ล้านทวิตในโซเชียลมีเดีย จากตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยมีความตระหนก และเฝ้าระวังไวรัสชนิดใหม่นี้อย่างค่อนข้างตื่นตัว
ขณะที่ยอดการติดเชื้อล่าสุด “คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน” (NHC) ได้เผยข้อมูลนับถึงวันเสาร์ที่ 25 ม.ค. ระบุว่าจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ภายในประเทศอยู่ที่ 1,975 ราย โดยเป็นผู้ป่วยขั้นวิกฤต 324 ราย ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 56 ราย และผู้ป่วยสงสัย 2,684 ราย
ส่วนจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสฯ ในต่างประเทศ แบ่งเป็นไทย 5 ราย, ญี่ปุ่น 3 ราย, เกาหลีใต้ 2 ราย, สหรัฐฯ 2 ราย, เวียดนาม 2 ราย, สิงคโปร์ 4 ราย, มาเลเซีย 4 ราย, เนปาล 1 ราย, ฝรั่งเศส 3 ราย และออสเตรเลีย 1 ราย
นอกจากนี้ สังคมออนไลน์ยังมีการพูดถึงเรื่องราวของ “ณัฐวุฒิ เอี่ยมเนตร” นักเรียนไทยที่ศึกษาอยู่ที่ Huazhong University of Science and Technology ในอู่ฮั่น ซึ่งเจ้าตัวได้ออกมาบอกเล่าสถานการณ์ที่นั่น พร้อมถ่ายภาพเมืองอู่ฮั่นที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คน คล้ายฉากหนึ่งในภาพยนตร์สยองขวัญ
“เราลงไปตุนของกินมา ความรู้สึกเหมือนในหนังเลย รถบนถนนไม่มี ตลาดปิด ทุกอย่างปิด มีซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ เปิดอยู่ร้านเดียว มีเจ้าหน้าที่มาคุมใครไม่ใส่แมส ไม่ให้เข้า พอเข้าไปมีคนมาตุนของอยู่ 5-6 คน ทุกคนดูรีบๆ อะไรหยิบได้หยิบ เดินห่างๆ กันแบบระแวงๆ มองหน้ากันตลอด
ของกินเหลือแต่มาม่า ขนมปัง ไส้กรอกแพค ของกินเหลือไม่เยอะมาก ของสดในซูเปอร์ไม่เหลือเลย เราเลยได้แค่ ขนมปัง มาม่า แล้วก็นม โคต-น่ากลัว ถ้ารอดไปได้จะเล่าให้ลูกหลานฟัง #อู่ฮั่นฉันต้องรอด”
ทางทีมข่าว MGR Live ได้พยายามติดต่อไปยังนักเรียนไทยที่อาศัยที่เมืองอู่ฮั่นคนดังกล่าว แต่เจ้าตัวให้เหตุผลว่าการสัมภาษณ์อาจทำให้คนวิตกกังวลจนเกินไป จึงขอตอบคำถามในประเด็นที่พอให้คำตอบได้ผ่านทางหน้าเฟซบุ๊กของตนเองเท่านั้น
“1. คนไทยที่อยู่ที่อู่ฮั่นมีประมาณ 50-60 คน ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา
2. ส่วนใหญ่พักอาศัยอยู่ในเขตมหาวิทยาลัยจึงมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง เนื่องจากคนไม่พลุกพล่านเพราะเป็นช่วงมหาวิทยาลัยปิดเทอม
3. สถานการณ์ปัจจุบันเมืองอู่ฮั่นเงียบจริงๆ ไม่เปิดตลาดหรือห้าง
4. การเดินทางเป็นไปได้ยาก เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ใช้ระบบการขนส่งสาธารณะ แต่ปัจจุบันหยุดให้บริการไปแล้ว
5. ประชาชนที่จำเป็นต้องออกไปข้างนอก หรือจำเป็นต้องไปโรงพยาบาล สามารถโทรศัพท์ไปที่สำนักงานเขตที่ตนเองอาศัย จะมีรถที่ทางรัฐจัดมารับส่ง
6.ปัจจุบันยังไม่เกิดสภาวะขาดแคลน จึงบอกไม่ได้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
7.ประชาชนในอู่ฮั่นต่างเก็บตัวอยู่ในบ้าน และให้ความร่วมมือกับรัฐบาลดีมาก”
ขณะที่ล่าสุด กระทรวงการต่างประเทศได้หารือกันว่า เตรียมแผนส่ง ซี-130 อพยพคนไทยจากอู่ฮั่น หากสถานการณ์ของโรคในเมืองอู่ฮั่นมีความรุนแรง รัฐบาลไทยอาจมอบหมายให้กองทัพนำใช้เครื่องบินทหาร ซี-130 บินเข้าไปรับคนไทยในอู่ฮั่นกลับประเทศไทยทันที
กังวลได้ แต่อย่าแตกตื่นถึงขั้นจิตตก!
“ตอนนี้ข่าวลือเกี่ยวกับตัวเลขผู้ติดเชื้อในบ้านเราไปไกลมาก บ้างก็ว่า 8 ราย 10 ราย 20 ราย ถ้าอิงตามรายงานล่าสุดของกรมควบคุมโรควันที่ 25 ตอนนี้ยังอยู่ที่ 5 คน เอาที่ชัวร์ๆ นะครับ แต่ยังรอผลแล็บอีกหลายคน
ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นตัวนี้ทั้งหมด เพราะที่ตรวจไป เจอเชื้อตัวอื่นเพียบ มีทั้งหวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ A สายพันธ์ B adenovirus RSV และอื่นๆ ดังนั้น รอตัวเลขชัดๆ จากกรมควบคุมโรค
ส่วนตัวเลขของคนที่อยู่ในขั้นตอนกักกันโรคนี้ ถ้าจะเอาไปรายงานข่าวว่าเจอที่นั่นนู่นนี่ ต้องบอกให้ชัดว่า นี่คือที่อยู่ในขั้นกักกันโรคนะ อาจจะไม่ใช่ก็ได้ จะได้ไม่แตกตื่นกันมาก
และไม่ต้องกลัวการปิดข่าว เพราะกรมควบคุมโรคบ้านเราเผยแพร่ข้อมูลทุกอย่างแบบละเอียดยิบ แถมยังอัพเดททุกวัน ขอแค่ค่อยๆ ตามอ่านรายงานเขาแบบมีสติก็พอนะครับ”
“จ่าพิชิต” เจ้าของเพจดัง “Drama-addict” โพสต์ข้อความเตือนระวังเรื่องข่าวปลอมในสังคมออนไลน์ที่ขณะนี้มีหลายกระแสออกมามากมาย รวมถึงกระแสโจมตีการทำงานของรัฐบาลและกรมควบคุมโรคฯ ที่ถูกพูดถึงตั้งแต่เทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา หลังจากที่ประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวจากจีนจำนวนมาก
จนทำให้เกิดแฮชแท็ก “รัฐบาลเฮงซวย” ครองอันดับ 1 ต่อเนื่อง หลังประชาชนไม่พอใจการแก้ปัญหาฝุ่น และไวรัสโคโรนา รวมถึงไม่มั่นใจศักยภาพของรัฐบาลไทยว่าสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้
ขณะที่บางกระแสยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพการทำงานของกรมควบคุมโรคฯ ของไทยที่ครองแชมป์อันดับที่ 6 ประเทศที่มีการเตรียมตัวรับมือโรคระบาดดีที่สุดในโลก สอดคล้องกับเรื่องราวของนักศึกษาไทยรายนี้ที่ออกมาแชร์ประสบการณ์การถูกคัดกรองที่สนามบินไทย หลังจากที่ตนเพิ่งเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น
“จุดประสงค์ คือ อยากให้รู้ว่าเจ้าหน้าที่สนามบินเขาทำงานกันอย่างเต็มที่จริงๆ อยากให้อ่านกันเพราะไม่อยากให้ว่าเจ้าหน้าที่กันขนาดนั้น ลองอ่านดูนะ
1. เรานั่งเครื่องจากฮาร์บินไปถึงสนามบินอู่ฮั่นทุ่มเศษ และขึ้นเครื่องจากอู่ฮั่นกลับไทยตอน 22.40 น. เท่ากับอยู่อู่ฮั่น 3 ชม.กว่า
2. ก่อนกลับไทย 1 อาทิตย์ เราป่วยเป็นคออักเสบ มีอาการไข้ขึ้นเป็นระยะ ในคอมีตุ่ม มีน้ำมูก เสียงแหบ เวียนหัว
3. เมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ตอนออกจากงวงช้างจะมีเจ้าหน้าที่ยืนขนาบทั้งซ้ายขวา ข้างละประมาณ 4-5 คน ทุกคนสวมหน้ากาก N95 ทางขวามือมีเครื่องคล้ายๆ ทีวี คาดว่าเอาไว้จับอุณหภูมิคน
4. เราเดินออกเป็นคนสุดท้าย พอจะพ้นประตูก็มีเจ้าหน้าที่พูดขึ้นว่า “ผู้หญิงเสื้อดำๆ” หลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ มากักตัวเราไว้ก่อน หมอเดินมาและถามว่าใช่คนไทยไหม จากนั้นก็ขอพาสปอร์ตและ Boarding Pass ของเรา สอบถามข้อมูลส่วนตัวทุกอย่าง
5.เราบอกเจ้าหน้าที่แล้วว่าเราป่วยเป็นคออักเสบ และเรียนที่ฮาร์บินแค่ 1 เดือน ส่วนอู่ฮั่น คือ ที่ที่เราไปเปลี่ยนเครื่องเพื่อกลับไทย แต่หมอวัดไข้เราได้ 37.8 ดังนั้น ตามมาตรการแล้วเราจะต้องถูกส่งไปสถาบันบำราศนราดูรในคืนนั้นเลย
6.เจ้าหน้าที่ให้นั่งรถเข็นและพาไปที่ห้องชั้นล่างและนอนพักเพื่อรอรถพยาบาล
7.ระหว่างนั้นพี่เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับเราพูดดีมาก ชวนเราคุยตลอดเพื่อไม่ให้เราตกใจ เรารู้สึกดีมากและลดความกังวลไปได้เยอะ
8.เมื่อรถพยาบาลมาถึง เจ้าหน้าที่ก็พาเราขึ้นไปห้องแยกเชื้อ
9.ในห้องนั้นมีประตูกั้นสองชั้น เจ้าหน้าที่มาเก็บตัวอย่างเลือด มีการตรวจเชื้อไข้หวัดใหญ่ มีการเก็บตัวอย่างเสมหะและอีกหลายอย่าง
10.ตัวอย่างถูกส่งไปตรวจ 2 ที่
11.ระหว่างที่อยู่ในห้องแยกเชื้อ การคุยกับแพทย์จะคุยผ่านทางโทรศัพท์ที่ฝังในกำแพง ภายในห้องมีกล้องวงจรปิดเพื่อเฝ้าดูอาการ ไม่มีการให้บุคลากรเข้ามาในห้องเราเลยถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
12.เมื่อผลตรวจยืนยันจากทั้ง 2 สถาบันแล้วว่าไม่มีเชื้อ เราถึงได้ออกมา”
อย่างไรก็ดี นักเรียนสาวรายนี้ยังบอกอีกว่าทางหน่วยคัดกรองที่สนามบินของไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ เมื่อพบความผิดปกติ เจ้าหน้าที่ให้ใส่หน้ากากอนามัยทันที และเห็นได้ว่าแม้มาจากเมืองอื่นและต่อเครื่องที่อู่ฮั่น แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้นิ่งเฉย มีการซักถามอย่างละเอียดเกี่ยวกับเมืองที่เรียน รูมเมท สถานที่ที่ไปเที่ยวต่างๆ ด้วย
ข่าวโดย MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **