ขับรถเมล์เงินเดือนทะลุแสน! สาวไทยแกร่งไกลไปถึงนอร์เวย์ สตรองขั้นสุด ควบ 2 งาน 15 ชั่วโมงต่อวัน ล้มป่วย เกือบเป็นอัมพฤกษ์! ขับรถเมล์ยาวเฟื้อยกว่า 18 เมตร ท่ามกลางหิมะ ฝนตก ถนนลื่น ทางสุดโหดคดเคี้ยวเลี้ยวลดหักศอก เส้นทางชีวิตไม่ได้สวยสด เริ่มจากเด็กปูผ้าในโรงแรม เด็กเสิร์ฟ ขับรถทำความสะอาด สาวโรงงานซักรีด อยู่เมืองไทยรายได้วันละ 200 บาท ไม่ยอมแพ้โชคชะตา โกอินเตอร์ถีบตัวเองสร้างรายได้วันละ 7,000 บาท ยันไม่หยุดพัฒนาตัวเอง เป้าหมายใหม่ ขับรถไฟฟ้า! ชี้ช่องสาวไทยขับรถเมล์ในนอร์เวย์กำลังขาดแคลน ไม่ตกงานแน่นอน!
คุ้มเหนื่อย! จาก 7 พันต่อเดือน สู่ 7 พันต่อวัน!
“จงศรัทธาในตัวเอง อย่ายอมแพ้ อย่าคิดว่าเราทำไม่ได้ ก่อนที่จะลงมือทำ”
ประโยคปลุกใจของ แตงโม-สุนิษา เวสแฮม สาวไทยวัย 34 ปี จาก อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ผู้ใช้ชีวิตหลากรสชาติกว่า 10 ปี บนดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืน ที่สร้างความฮึกเฮิมให้กับผู้ที่กำลังท้อแท้กับโชคชะตาชีวิตที่อาจจะเล่นตลกกับใครหลายๆคน แต่สำหรับสาวสวยสตรองอย่างเธอ ยืนยันกับทีม MGR Live อย่างเด็ดเดี่ยวเลยว่า ความศรัทธาในตัวเองนี่แหล่ะจะทำให้เราก้าวข้ามอุปสรรคทุกสิ่งอย่างได้
“เรียนจบแค่ ปวช.การบัญชี จากนั้นก็มาทำงานโรงแรมอยู่ จ.ภูเก็ต เป็นพนักงานเสิร์ฟและพนักงานต้อนรับอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ตอนนั้นยังเด็กอยู่เลย อายุ 18 ปี คุณอาเป็นคนหางานให้ ก็ฝากให้เป็นพนักงานต้อนรับ พนักงานเสิร์ฟ เพราะเขาจะให้เราเรียนภาษาฟรีในช่วงหลังเลิกงาน ทำให้สามารถพูดภาษาอังกฤษคล่อง สื่อสารได้
ประกอบกับมีพี่สาว มีอา อยู่ที่นอร์เวย์ ทำให้ต้องเดินทางไปมานอร์เวย์-ประเทศไทย ขึ้นๆลงๆอยู่สักพัก กระทั่งอายุ 22 ปี ก็มาอยู่ที่นอร์เวย์ถาวร ที่เมืองเบอร์เกน
พอขึ้นมาที่นี่ก็ยากหน่อย เพราะเราชินภาษาอังกฤษอยู่ ภาษานอชก์ (norsk) จะเรียนยากหน่อย จริงๆแล้วคนไทยที่มาใหม่ๆ สามารถมาเรียนภาษาได้ฟรี 500 ชั่วโมง ในเวลา 5 ปี ไม่เสียเงินเลย สำหรับคนที่แต่งงาน และต้องเป็นประชากรของเขา แต่เราก็เรียนไม่เยอะ ทำงานซะมากกว่า เพราะช่วงนั้นรายได้ดี จำได้ว่าเรียน 3 เดือนแรก บังเอิญว่าได้งาน เลยเลิกเรียนตอนเช้า มาเรียนตอนเย็นแทน เรียนอยู่ประมาณ 6 เดือนได้ เรียน 2 วันต่อ 1 อาทิตย์หลังจาก 6 เดือน ก็ทำงานเต็ม 100% เลย
ตอนแรกไม่คิดเลยว่าจะมานอร์เวย์ เพราะไม่ค่อยชอบที่นี่เท่าไหร่ เพราะอากาศหนาวมาก แต่พี่สาวบอกว่า มาอยู่ด้วยกัน เพราะเขาอยู่แค่คนเดียว ส่วนคุณอาก็จะอยู่คนละพื้นที่กัน
พอได้เริ่มทำงานเท่านั้นแหล่ะ ถึงอยากอยู่ที่นี่มาก เพราะเงินเยอะกว่าเมืองไทยเยอะเลย
ย้อนไปตอนอายุ 19 -20 ปี เราทำงานที่โรงเเรม ได้ไม่เกิน 7,000 บาท แต่พอมาอยู่ที่นี่ทำงานวันหนึ่ง 7,000 บาทก็เกือบจะได้แล้ว เลยโลภ อยู่ที่นี่ดีกว่า เพราะความโลภของเราเองนี่แหล่ะ(หัวเราะ)
แถมได้ หยุดแค่ 1 วันต่อ 1 อาทิตย์ ไม่คุ้มกันเลย มาอยู่ที่นี่ โอ้โห้ ทำงานวันหนึ่ง 1 ชั่วโมง ได้ 150 โครน สมัยนั้นค่าเงิน 1 โครน เท่ากับ 5 บาท ถ้า 150 โครน ก็เกือบ 750 บาทต่อ 1 ชั่วโมง แต่ก็หักภาษีเยอะอยู่ แต่ถึงยังไงมันก็คุ้ม เพราะเราทำงานวันหนึ่งคือ 7 ชั่วโมงครึ่งที่นี่ เหมือนอยู่ในที่ทำงาน 8 ชั่วโมง แต่ครึ่งชั่วโมงไม่นับ”
ทำงานหนัก 15 ชั่วโมงต่อวัน จนเกือบเป็นอัมพฤกษ์
“งานแรกที่นอร์เวย์ เป็นคนปูผ้าที่โรงแรม ได้เงินเป็นรายเดือนประมาณ 18,000 โครน คิดเป็นเงินไทยในช่วง 10 ปีที่แล้ว ประมาณ 90,000 บาท งานหนักมาก เพราะวันนึงต้องทำ 18 ห้อง เราต้องทำคนเดียวหมดเลลย ทั้งปูผ้า ล้างห้องน้ำ ทุกอย่าง แต่เวลาปูผ้าไม่ต้องถึงกับว่าโยนเหรียญให้เด้งเหมือนเมืองไทยนะ ไม่ขนาดนั้น แต่ต้องปูให้เรียบ และต้องดูดฝุ่น มันค่อนข้างหนักเลย ถ้าเทียบการทำงานที่เมืองไทยกับที่นี่ รู้สึกเลยว่าที่นี่จะหนัก
แต่ทำอยู่ได้ 3 เดือน ไปทำได้ไม่นานมาก เพราะเวลาเดินทางไปทำงานต้องนั่งรถบัส ซึ่งเราทรมานมาก เพราะเมารถ อาเจียนตลอดทาง รถบัสจะขับสวิงไปมา เลยบอกหัวหน้าว่า ฉันทำไม่ไหว เป็นเหตุผลให้ต้องขับรถเอง เลยไปสอบขับรถ ก็สอบผ่านเลย เพราะยุคนั้นเราไม่ต้องสอบข้อเขียน เราเอาใบขับขี่จากเมืองไทยมาเทียบ เรียนขับอยู่ 3-4 วัน ก็สอบขับเลย ก็ผ่าน แต่ยุคนี้ไม่มีแล้ว เทียบใบขับขี่จากเมืองไทยไม่ได้แล้ว ต้องสอบใหม่หมดทั้งข้อเขียนและข้อปฏิบัติ
จากนั้นก็ไปเป็นเด็กเสิร์ฟ เพราะเรามีใบผ่านงานมา ก็เลยมายื่นกับที่ห้องอาหาร บอกว่าเคยทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟมาก่อน ก็เลยได้อัปจากตรงนั้นมาทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ ช่วงเดือนแรกก็ได้เสิร์ฟบ้างนิดหน่อย แต่ต้องอยู่ล้างจานเยอะ พอสักพักเขาเห็นว่าเราเสิร์ฟ 3 มือได้ ก็เลยเริ่มให้เราเสิร์ฟบ้าง สอนให้เรารับออร์เดอร์บ้าง เพราะภาษาเราเริ่มดีขึ้น
คราวนี้ได้งานประจำอีกงาน เป็นคนขับรถของบริษัททำความสะอาด หน้าที่คือขับรถไปเอาไว้ม็อบไปวางเป็นที่ๆ แล้วก็เก็บม็อบที่เขาใช้ เอาไปส่งโรงงานซักผ้า ก็เลยได้ 2 งานควบเลย คือขับรถกับเป็นเด็กเสิร์ฟ วันหนึ่งทำงาน 14-15 ชั่วโมง ทำได้ อยู่ 2-3 ปี
ตอนทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ เป็นพาร์ทไทม์ จะได้เงินประมาณเดือนละ 12,000 โครนต่อเดือน เพราะได้ค่ากะ ค่าล่วงเวลาด้วย แต่บังเอิญเขาไม่ได้รับเราเป็นงานประจำ ก็เลยไปสมัครงานเป็นคนขับรถของบริษัททำความสะอาด คราวนี้ได้เงิน 100% เพราะเป็นงานประจำ ขับรถตั้งแต่ 6 โมง จนถึงบ่ายสาม จากนั้นก็กลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เข้างานเป็นเด็กเสิร์ฟบ่ายสี่โมงครึ่ง จนถึง 5 ทุ่ม คือควบทั้ง 2 งานเลย ประมาณ 2 ปี
ช่วงนั้นรายได้เยอะมากเลย เดือนหนึ่งตก 30,000-40,000 โครน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 150,000 บาท เพราะขับรถทำความสะอาดได้ประมาณ 18,000 -19,000 โครน ไม่รวมล่วงเวลา
ทำแบบนี้อยู่ 2 ปีเต็มๆ ทำให้เราล้มป่วย ปวดหลัง ทำงานไม่ได้เลย ลุกขึ้นไม่ได้ ขาข้างขวามันชา ตอนแรกคิดว่าตัวเองจะเป็นอัมพฤกษ์แล้วด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะว่าเรายกของหนักด้วย พอไปเอ็กซเรย์แล้วเหมือนกับเป็นเส้นทับกระดูก หลังจากนั้นก็ลาออกจากพนักงานเสิร์ฟ และพนักงานขับรถทำความสะอาด
จากนั้นจึงมาสมัครงานที่โรงงานซักผ้า ยืนพับผ้าบ้าง รีดผ้าบ้าง แล้วแต่ว่าวันไหนเราจะได้ทำอะไร เงินดีกว่า แต่ก็ไม่เท่ากับว่าเราทำงาน 2 ที่เหมือนก่อน เดือนนึงจะได้ประมาณ 19,000 โครน ถ้าทำล่วงเวลาด้วยก็ 20,000 โครน ก็เกือบแสนบาท ทำอยู่ 3 ปี จากนั้นก็ลาออกเพราะตั้งครรภ์ ประกอบกับย้ายบ้านด้วย ห่างจากที่ทำงานเป็นชั่วโมง ไม่ได้ทำงานเลี้ยงลูกอยู่ประมาณ 2 ปี กินเงินคนตกงานอยู่ 2 ปี
ท้อภาษาแต่สู้! ก้าวสู่เส้นทางอาชีพขับรถเมล์
“เริ่มเรียนขับรถบัสเมื่อเดือนกันยายนปี 2017 โดยเรียนทฤษฎี 3 เดือน ลเริ่มเรียนใหม่หมดเลย เพราะตอนขับรถทำความสะอาดเป็นรถเล็ก ใช้ใบขับขี่ธรรมดาได้ ตอนแรกอึ้งอยู่นานมาก เพราะเราไม่ได้เรียนหนังสือเยอะ ต้องแปลชนิดที่เรียกว่า ตัวต่อตัวเลย พยายามมาก หลายครั้งที่ท้อ
ในห้องที่เรียนมี 30 คนเป็นผู้ชายหมดเลย เราเป็นผู้หญิงคนเดียว มีต่างชาติหลายคน หลากหลายเชื้อชาติ แต่เราเป็นคนไทยและผู้หญิงคนเดียว วันที่สอบผ่านยังจำได้เลยว่า เพื่อนในห้องบอกว่า ฉันจะกลับบ้านไปล้างรถแล้ว แล้วฉันจะมานั่งขึ้นรถเมล์เธอ เขาก็แซวๆกัน เพราะเป็นผู้หญิง นั่งหัวโด่อยู่คนเดียว
จริงๆไม่อยากขับรถบัส เพราะคิดว่ายาก คิดว่าเป็นเกียร์ธรรมดา พอรู้ว่าไม่ใช่เกียร์ธรรมดา เป็นเกียร์ออโต้ ก็โอเค ถ้างั้นคงจะไม่ยากมาก ก็เลยมาเริ่มอ่านหนังสือ ไปยืมหนังสือจากห้องสมุดก่อน คราวนี้พอเปิดปั้บ พี่เอ้ย! ปิดเลย เราต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับรถ ต้องรู้ทั้งอะไหล่ทุกอย่าง พวกกันชน เพลาหน้า เพลาหลัง ต้องรู้หมดเลย คราวนี้ปิดหนังสือหลายครั้งมาก เปิดแล้วก็ปิด อ่านไม่รู้เรื่อง รู้สึกเหมือนเอาผู้ชายแมนๆมาแต่งหน้า เหมือนกันเลย
แล้วเครื่องยนต์รถ น้ำมันเครื่อง เราไม่มีความรู้มาก่อนเลย ขนาดจะใส่น้ำที่ปัดน้ำฝนยังใส่ไม่เป็นเลย เครียดมาก เลยบอกไม่เอาแล้วได้ไหม ไม่อยากทำแล้ว
แต่มันต้องบีบตัวเอง เพราะว่างานไม่มีเลย สมัครงานไปเยอะมาก ก่อนที่จะตัดสินใจมาทำอันนี้ แล้วมันท้อไปหมด ภาษายากที่สุดเลย อ่านตัวต่อตัว แปลบรรทัดต่อบรรทัดเลย ในหนังสือ แปลตัวต่อตัวเลย
แต่ไม่ท้อก็ซื้อแบบทดสอบทางอินเตอร์เน็ตที่ให้มาฝึกทำข้อเขียน ตอบคำถาม เป็นเดือนเหมือนกัน ทำอยู่นาน ถึงจะมั่นใจไม่สอบที่ขนส่งฯ ทำแบบทดสอบในอินเตอร์เน็ตจะช่วยได้เยอะ แล้วก็สอบผ่าน ข้อสอบมีทั้งหมด 50 ข้อ ให้ผิดได้แค่ 8 ข้อ แต่เราผิดไปแค่ 5 ข้อ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราต้องรู้ทุกอย่างไหม พอทำงานจริงๆเราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างขนาดนั้น แต่ตอนสอบเราต้องรู้ทุกอย่างหมดเลย ว่าอะไรไตรงไหน เชื่อมกันอย่างไร ถ้าสมมติว่าไฟเตือนขึ้นอย่างนี้เราต้องทำยังไง เราต้องรู้หมดเลย ตอนที่จะสอบ ทฤษฎียาก และปฏิบัติจริงๆ แล้วไม่ยาก แต่ท้ออยู่นานมาก ท้อกับภาษาที่เขาใช้ มันยาก มันกำกวม บางคำความหมายเหมือนกัน แต่เขาใช้คำอื่นที่เป็นคำราชการที่เราไม่เข้าใจ หนูก็ต้องเปิด ต้องอ่านใหม่ เพราะเราไม่ใช่เจ้าของภาษา
หลังจากสอบผ่านทฤษฎี คราวนี้ก็เลยลงเรียนขับรถบัสอยู่ประมาณ 20 ชั่วโมงเรียน ครั้งแรกที่จับรถ บอกเลยว่า ตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นที่สุดในโลกเลย เพราะว่า รถบัสขับไม่เหมือนรถธรรมดา รถธรรมดาล้อจะอยู่ข้างหน้าเรา แต่รถบัสล้อจะอยู่ข้างหลังเรา ฉะนั้นเราต้องขับตรงไปหน้าก่อน ถึงจะเลี้ยวได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วรถจะติดกับคนอื่น หรือจะขึ้นฟุตปาธบ้าง ขึ้นวงเวียนบ้าง ตอนแรกๆครูก็ด่าหลายครั้ง บอกว่าเธอ จำให้ดีสิ ว่าต้องเดินไปหน้าก่อน ถึงจะเลี้ยว มันยากมาก
ตอนสอบขับรถบัสหิมะตกเยอะมาก แต่ก็ดี จราจรช้าลง ตกสองข้างทาง แต่ดีอย่างตอนที่เรียน เส้นทางที่ครูพาไป ตอนสอบกับตอนฝึก คือเป็นเส้นทางที่เราชินแล้ว ก็เลยขับได้ โชคดี สอบครั้งเดียวผ่่านเลย สอบขับก็แค่สอบไปตามเส้นทาง เขาจะบอกให้เราอ่านป้าย ว่าให้ไปไหน แล้วเขาจะบอกว่า ให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หรือว่าให้ไปตามทางที่เขาบอก ตอนที่สอบ ตอนที่เรียนก็ถนนจริงหมด ลงถนนจริงตั้งแต่วันแรกที่ขับรถได้ ทำให้เรารู้จราจรจริงหมดเลย
ตอนที่ขับช่วงนั้นก็มีทั้งหิมะ ฝนตก ถนนลื่น มืดเร็ว 4โมงเย็นก็มืดแล้ว ช่วงแรกบอกเลยว่าขับยากมาก รถใหญ่มาก คันยาวด้วย ทั้งใหญ่ กว้าง ยาว ยากมาก โดนครูดุหลายครั้งด้วย ครูเป็นผู้ชาย เป็นครูเดนมาร์ก คราวนี้ภาษาของเขาจะคล้ายๆกันกับภาษานอร์เวย์ แต่ไม่เหมือนซะทีเดียว เหมือนคนลาวกับคนไทย สับสนเรื่องภาษาอีก ก็ตื่นเต้นกับรถคันใหญ่ คันยาว ทีหนึ่งแล้ว แล้วมาสับสนกับครูอีก
แต่พอขับเป็นแล้ว ไม่ยากแล้วคราวนี้ เพราะเรานั่งสูง สามารถเห็นหมดเลย ข้างๆว่ามีอะไรบ้าง เราจะนั่งสูง หลังจากที่สอบผ่าน ทำงานแล้ว รู้สึกเลยว่า ขับรถบัสง่ายกว่าขับรถยนต์อีก เพราะเรานั่งสูง เรามองเห็นหมด มองเห็นสถานการณ์รอบด้าน มองเห็นรถข้างๆ
รถเมล์ในนอร์เวย์จะมี 2 ขนาด ถ้าปกติ คือท่อนเดียวยาว 12.4 เมตร จุได้ 62 คน ทั้งนั่งทั้งยืน และอีกแบบหนึ่งคือ เป็นรถพ่วง แบบยาวมาก ประมาณ 18.75 เมตร จุได้ 79 คน ถ้าถอยหลัง รถบัสธรรมดาง่ายกว่า แต่ถ้าขับจริงๆ ขับรถเมล์พ่วงง่ายกว่า เพราะว่าระหว่างท่อนหนึ่งกับท่อนสองมันสั้นกว่ากันเวลาเลี้ยวเข้าโค้ง 2 ท่อน จะง่ายกว่า
พอสอบทั้งข้อเขียนทฤษฎีและปฏิบัติแล้ว คราวนี้ต้องเรียนใบประกอบวิชาชีพอีก 1 เดือน และจะมีสอบอีกครั้ง รอบนี้ 50 ข้อ ผิดได้ไม่เกิน 7 ข้อ รู้สึกว่าเราผิดไป 6 ข้อ อีกข้อเดียวเส้นยาแดงผ่าแปด ยากมาก อันนี้บอกเลยว่า ยากกว่าตอนเรียนทฤษฎีของตอนสอบใบขับขี่ ใบประกอบวิชาชีพยากมาก ต้องเรียนอยู่ 1 เดือน 8 โมงถึงบ่ายสาม หลังจากนั้นก็ต้องอ่านย้อนหลังไปอีก
เราเรียนกับผู้ชาย และเรียนกับคนนอร์เวย์ซะเยอะ เหมือนกับเราช้ากว่าเขา เพราะเราไม่ค่อยรู้ภาษาด้วย และเราไม่ใช่ผู้ชาย ไมใช่ช่าง พอเรียนจบคอร์ส 1 เดือน ใช้เวลาอีก 2 อาทิตย์ เรียนย้อนหลัง อ่านทบทวนก่อนจะตัดสินใจไปสอบ สอบทีเดียวก็ผ่านเหมือนกัน สอบผ่านก็ได้ใบผ่านจากกรมขนส่งว่าเราสามารถประกอบอาชีพนี้ได้แล้ว เรามีใบขับขี่จริง แต่ถ้าเราไม่มีใบนี้ก็ทำงานไม่ได้
จากนั้นก็ไปสมัครงานเลย สอบผ่านใบประกอบวิชาชีพแล้ว คราวนี้ก็ไปสมัครงาน รองานอยู่ 3 เดือนได้ รอเรียกสัมภาษณ์นานมาก เพราะเดือนนึงเขาจะเรียกสัมภาษณ์ครั้งเดียว ตอนไปสมัครรู้สึกว่า 6 คนรับหมดเลย
อู้ฟู้! รายได้เกือบสองแสนต่อเดือน
สำหรับเส้นทางการขับแต่ละวันไม่เหมือนกันสักวันหนึ่งเลย แต่ละสาย แล้วแต่เราจะได้สายไหนของวันไหน รถก็ไม่เหมือนกันสักวันด้วย แต่ละคันอุปกรณ์ก็ไม่เหมือนกัน ระบบก็ไม่เหมือนกัน รถยาว รถสั้น แต่ละขนาด แต่ละยี่ห้อ เขามี 2-3 ยี่ห้ออีก แล้วแต่ปีอีก เราจะรู้ว่าจะขับสายไหน เขาบอกเราล่วงหน้า แต่เราไม่รู้ว่ารถคันไหนที่เราได้
แต่ละคนก็เข้างานไม่เหมือนกัน ห่างกันคนละ 2 นาที 5 นาที 3 นาที อย่างสาย 3 รถพ่วงยาว จะออกทุก 10 นาที เพราะฉะนั้นแล้วจะมีคนเข้างานทุก 10 นาที สลับกันไป บางทีก็ขับตั้งแต่ตี 5 แล้วมาพัก เริ่มขับตีห้าครึ่ง แล้วมาพักเบรก 9 โมงเช้า เริ่มใหม่อีกทีบ่ายโมงครึ่ง และเลิกอีกที 6 โมงเย็น บางทีก็ทำทีเดียวรวด บางทีก็ทำตอนเช้า 3 ชั่วโมง ตอนเย็น 3 ชั่วโมง ในช่วงเวลาเร่งด่วน
รถบัสที่นี่วิ่งจนถึงตี 4 แต่บางสายก็จะมี 24 ชั่วโมงเลย อย่างสาย 3 สาย 4 เป็นสายที่คนไม่เยอะก็จะไม่เกินเที่ยงคืน แต่ศุกร์ เสาร์ จะมีตลอดเวลาเลย ส่วนตัวเองยังไม่เคยขับ ตี 1 ตี 2 ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายขับ เพราะบางทีอาจจะมีคนเมา ก็เซฟเราด้วย เราเป็นผู้หญิง
ส่วนรายได้คิดเป็นชั่วโมง ชั่วโมงละ 200 โครน ทำงานวันละ 7 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าก่อน 6 โมงเช้าก็บวกไปอีก 25% ถ้าเลยหลัง 3 ทุ่มไปแล้ว ก็บวกอีก 25% ถ้าวันสาร์หลังบ่ายสาม 50% วันอาทิตย์คือ 40% ยาวเลยแต่รถบัสส่วนมาก เคยได้มากสุดประมาณ 25,000 โครน ทำเยอะมาก เกิน 100% คือ 180 ชั่วโมงแล้วคูณ 200 (คิดเป็นเงินไทย 180,000 บาท)
ลุ้นทุกวัน! ใส่พระ ไหว้พวงมาลัยรถ
“ทุกวันก่อนออกจากบ้านมาทำงาน คือหนูใส่พระแล้ว พอรถออกจากที่จอดรถ ต้องไหว้พวงมาลัยรถทุกครั้งเลย เพราะแต่ละวันเหตุการณ์ไม่เหมือนกันเลย ทั้งสาย เส้นทางที่เราได้ขับ รถที่ใช้ขับ ผู้โดยสารที่ขึ้นมา ไม่เหมือนกันสักวัน ถนนก็ไม่เหมือนกัน อากาศก็ไม่เหมือนกันอีก ทำให้ในแต่ะวันหนูตื่นเต้นทุกวัน รู้สึกว่าตัวเองเป็นมือใหม่ทุกวัน
เพราะว่าที่นี่อากาศแปรปรวน ฝนบ้าง ลมบ้าง หิมะบ้าง ทางที่นี่ก็คดเคี้ยวเลี้ยวลด บางที่ก็ขึ้นสูงเนินสูง แล้วรถขับผ่านได้ครั้งละ 1 คัน คือเราต้องจอด แล้วให้เขาไปก่อน หรือบางที่ บางเส้นทางที่แคบขนาดนั้น มีรถบรรทุก หรือรถเมล์ด้วยกันสวนมา คือเหงื่อไหลเลย บางทีเราก็ต้องถอยให้เขา ซึ่งทางมันเล็กมาก บางทีเขาก็ต้องถอยให้เราอย่างนี้ แล้วแต่สถานการณ์
เพราะฉะนั้นแล้วตื่นเต้นทุกวัน รู้สึกว่าตัวเองเป็นมือใหม่ทุกวัน ต้องใส่พระ และไหว้พวงมาลัยทุกวัน ขอให้ทุกอย่างปลอดภัยนะ
แต่ดีอย่างหนึ่ง ที่นี่จราจรเขาดี อุบัติเหตุน้อยมาก ยังไม่เคยเจออุบัติเหตุเลย แต่ที่ระวังที่สุดอาจจะเป็นคนเดินเท้ากับคนปั่นจักรยาน หนูกลัวที่สุด ไม่ได้กลัวรถเลย กลัวคนมากกว่า เพราะที่นี่เหมือนคนเขาจะเป็นใหญ่กว่าเรา เพราะบางทีเราต้องเบรกให้เขา ต้องให้ทางเขาตลอด จะกลัวตรงนั้นที่สุด ระวังที่สุด
ที่นี่ไม่บีบแตรกันเลย น้อยมากที่จะบีบแตร ต้องฉุกเฉินที่สุดจริงๆ ซึ่งเราจะพยายามมองให้ไกลที่สุด พยายามเบรกให้น้อยที่สุด เพราะสงสารคนในรถ เบรกที รถมันจะกระตุก คิดถึงความรู้สึกของเราที่นั่งรถเมล์ไม่ได้ด้วยมั้ง เลยคิดว่า ถ้าสมมติเราเบรกแรงๆ ผู้โดยสารอาจจะอาเจียนก็ได้
รถเมล์ที่นี่จะจำกัดความเร็ว รถท่อนเเดียวขับได้ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนเส้นมอเตอร์เวย์ แต่รถ 2 ท่อน ได้แค่ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนมอเตอร์เวย์ หลังจากนั้นก็แล้วแต่ว่าเขาจะเขียนไว้ตามเส้นทางว่า เราต้องใช้เท่าไหร่ 50 40 60 ก็แล้วแต่เส้นทาง สำหรับค่ารถโดยสารถ้ามีบัตรสมาชิกก็ 38 โครน ถ้าไม่มีบัตรก็ 60 โครน
ที่นอร์เวย์เวลาเป็นเรื่องสำคัญมาก เคยมีผู้โดยสารบางคนคอมเพลนว่า รถเรามาช้า เพราะบางทีหิมะตกเยอะ รถเราจะมาช้า อย่างสาย 5 นาที เขาก็จะมาบอกเราว่า เธอมาสายนะ ฉันไปทำงานไม่ทัน แต่รถเราก็ออกก่อนไม่ได้นะ ถ้าออก 6 โมงเย็น ก็ต้องออกเป๊ะ ออกก่อนไม่ได้ แต่ถ้าออกช้าสุดก็ห้ามเกิน 3 นาที แต่จริงๆ เขากะเวลามาถูกต้องแล้วว่า จากตรงนี้ไปตรงนี้ ใช้เวลากี่นาที เพราะที่ป้ายรถเมล์ในนอร์เวย์จะบอกไว้เลยว่า สายนี้ๆ เช่น สาย 5 สาย 3 จะมาถึงที่นี่กี่นาที แต่เดี๋ยวนี้บางเส้นทาง บางป้าย จะขึ้นไว้เลยว่า อีก 3 นาทีรถจะมาถึงแล้วนะ บางป้ายจะบอกเลยว่า สายนี้กำลังจะเข้ามา
ตอนเช้ากับตอนบ่าย ชั่วโมงเร่งด่วนนี่ปลากระป๋องเลย เต็มพิกัด เต็มคันเลย แล้วก็ช่วงศุกร์เสาร์ ประมาณ 2 ทุ่ม คนเริ่มออกไปเที่ยว ช่วงซัมเมอร์คนจะเยอะ ส่วนมากออกไปดื่มกัน แล้วเขาจะไม่เอารถไป แต่รถจะติดน้อยมาก ถ้าติดมากที่สุดก็ไม่เกินชั่วโมง ช่วงบ่าย 4 ถึง 5 โมง ก็ติดจริงๆ ตอนเช้าก็ประมาณ 8 โมงครึ่งถึงเก้าโมง ติดจริงๆเลย บ้านเขาก็ใช้รถส่วนตัวอยู่ แต่ช่วงนี้รณรงค์ให้ขึ้นรถไฟฟ้า เพราะค่าถนน ค่าทางด่วนมันเยอะ ติดตลอดเวลาเลย คนใช้รถส่วนตัวตอนนี้ค่อนข้างแพง เขาก็เลยหันมาขึ้นรถบัสซะเยอะ
ตั้งแต่ขับรถเมล์มาก็ยังไม่เคยประสบอุบัติเหตุเลยนะ เคยแต่เอารถไปครูดกับที่กั้นถนน บางทีเลี้ยวไม่พ้น หรือบางทีเลี้ยว อย่างที่บอกว่ารถเมล์ต้องขับเดินตรงหน้าไปก่อนถึงจะเลี้ยว ไม่งั้นเราจะครูดกับที่กั้นถนน ถ้าประสบเหตุแบบนั้นเราต้องเขียนรายงานว่าเราให้เกิดรอยรถ
รถบัสที่นี่ปลอดภัย ดูแลบำรุงรักษาอย่างดี อย่างยางรถที่นี่เขาเปลี่ยนทุกฤดู อย่างถ้าช่วงซัมเมอร์จะเปลี่ยนเป็นล้อซัมเมอร์ พอช่วงวินเทอร์มา เขาก็จะเปลี่ยนเป็นล้อวินเทอร์ ล้อช่วงหน้าหนาว จะเป็นล้อตะปู ก็จะสามารถกดพื้นได้ดี เพราะบางพื้นที่โซ่กดไปอีกที แต่ไม่ค่อยได้ใช้ นอกจากว่าเราขับรถไปทางที่มันหนาว มีหิมะเยอะๆ
คำชมล้นหลาม ทำงานดีกว่าผู้ชาย
ทำงานที่นี่ไม่เคยโดนดูถูก หรือเหยียด เพราะที่ทำงานก็เป็นผู้หญิง 10% ที่เป็นผู้หญิงขับรถเมล์ ที่ทำงานมี 200 กว่าคน และมาจากทั่วโลกเลย ประมาณ 20 คนได้ ที่เป็นผู้หญิงทำงาน มีทั้งคนโปแลนด์ คนนอร์เวย์ และเราเป็นคนไทยคนเดียว คนโรมาเนีย ส่วนเราจะเป็นคนไทยคนแรกที่ขับรถเมล์มั้ย ไม่แน่ใจ แต่ยังไม่เห็นเท่าที่รู้ เเต่ไม่แน่ใจว่ามีหรือเปล่า เพราะเราอยู่แต่นี่ที่ ไม่ได้รู้คนเมืองอื่น
แต่เราได้รับคำชมเยอะมาก จากทั้งผู้โดยสาร และพนักงานขับรถ และหัวหน้าเองที่เขาได้รับจากผู้โดยสาร บอกว่าเราขับรถได้ดีมาก หัวหน้าบอกตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปสอบขับเพื่อจะเป็นพนักงานของเขา เราต้องสอบขับอีกครั้งหนึ่งกับหัวหน้า หัวหน้าบอกว่า เราสามารถทำได้เท่ากับผู้ชายทั่วไปเลย บางครั้งทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะเราระวังให้เขา เพราะเราคิดถึงว่าหากเป็นตัวเรา เพราะเรานั่งรถบัสไม่ได้ ถึงตอนนี้ก็ยังนั่งไม่ได้ นั่งข้างหน้าได้อย่างเดียว ไม่ขับเองก็ต้องนั่งคู่กับคนขับเลย ถึงจะขึ้นรถบัสได้ นั่งหลังไม่ได้เลย เมารถ
จะได้รับคำชมจากหัวหน้าตลอดเลย ได้รับความคิดเห็นแนวบวกจากผู้โดยสาร เพราะมีการประเมินคนขับ บางเส้นทางหัวหน้าบางคนที่เราไม่รู้จักก็แอบขึ้นรถของเราไปข้างหลังก็มี เขาก็มาบอกที่หลังว่า ฉันขึ้นรถเธอมานะ ขับรถได้ดีมาก พอจะลงแล้ว เขาจะมาบอก ตบบ่าเรา "ทำงานได้ดีมาก"
จริงๆแล้วให้นึกถึงว่าผู้โดยสารเป็นคนในครอบครัวเรา อีกอย่างเซฟตัวเราด้วย ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาที่นี่ อาจจะพาเราไปอยู่อีกจุดหนึ่งเลยก็ได้ อาจจะโดนยึดใบขับขี่ หรืออาจจะติดคุกไปเลยก็ได้ ถ้าสมมติเราเกิดชนคน หรือเกิดอุบัติเหตุ ก็เลยต้องคิดตลอดเวลาเลยว่า หนูต้องไม่ประมาท ต้องไม่ทำอะไรที่ผิดกฎจราจร เพราะกลัวมาก โดนยึดใบขับขี่ กลัวที่สุด กลัวเกิดอุบัติเหตุ พยายามทุกครั้ง สมมติว่าวันไหนต้องเบรกเยอะๆหรือการจราจรค่อนข้างจะแน่นหนาก็พยายามจะมองให้ไกลที่สุด แล้วพยายามแพลนว่าเราต้องเบรกแล้วนะ ต้องพยายามชะลอ เพื่อจะได้ไม่ต้องเบรก
ที่สำคัญต้องมองดูผู้โดยสารข้างหลัง ใช้กระจกให้เยอะที่สุด คนที่เป็นพนักงานขับรถให้พึงระลึกไว้เสมอว่า “กระจกคือเพื่อน”
คือเราต้องมองทั้งซ้ายและขวา หน้า หลัง ข้างบน เราจะได้มองเห็นหมดว่า คนนั่งเขากลัวเราหรือเปล่าที่เราขับ ถ้าเขาคุยกันอยู่บนรถ รู้สึกว่าเขาปลอดภัย เราก็จะดีใจ บางทีก็มีมาตบบ่า บอกว่า "ขับรถได้ดีมาก ขอบคุณนะ"
แต่โดยส่วนมากผู้โดยสารก็จะขึ้นลงของเขาไป บางทีเขามองไม่เห็นเราด้วยซ้ำ แต่บางคนเขาเห็นว่า โอเคเราทำงานได้ดี เขาก็มาตบบ่า มาขอบคุณบ้าง
สติ- ภาษา สำคัญ
“เราต้องพร้อม มีสติตลอดเวลา อย่างเวลารถสวน ทางแคบ รถขึ้น หักศอกบางพื้นที่ รถไม่สามารถสวนกันได้ ไปได้แค่ครั้งละคัน
และที่สำคัญห้ามใช้มือถือระหว่างขับรถเลย ต้องใช้บลูทูธอย่างเดียว ถ้าเกิดหัวหน้าโทร.เข้ามา แล้วก็รับไม่ได้ ในรถจะมีโทรศัพท์ติดตั้งไว้แล้วของรถแต่ละคัน เพราะว่าหัวหน้าโทร.มา ก็จะโทร.เข้าเครื่องบนรถ
ภาษาก็สำคัญ เราต้องอ่านออกเขียนได้ ต้องเขียนรายงานบางที่ เหมือนเราทำต่อจากคนอื่น และคนอื่นได้ทำรถเราพัง เราก็ต้องเขียนรายงานไปว่า ฉันได้รถเวลานี้ๆ รถได้เกิดอุบัติเหตุมาแล้ว มันไม่เกี่ยวกับเราต้องเขียนเป็นภาษานอชก์ ส่งรายงานให้เขาได้
ภาษานี่สำคัญต้องอ่านออกเขียนได้ แล้วต้องสนทนากับเขาได้ ตอนที่สอบสัมภาษณ์เขาก็ต้องถาม สอบเราว่าเขียนได้ อ่านออกไหม คนขับภาษานอชก์ต้องได้ทุกคน และเราต้องเป็นพลเมืองเขา ต้องมีบัตรประชาชนที่เสียภาษี คือต้องมีสามีที่นี่ หรือมากับพี่น้อง
แนะสาวไทยขับรถเมล์ อาชีพที่นอร์เวย์ขาดแคลน
“พนักงานขับรถรับตลอด ขาดแคลน คนเข้าคนออกตลอด เพราะคนเกษียณก็เยอะ ที่มาจากประเทศอื่นก็เยอะ เขาเข้ามาเพื่อทำงานแล้วก็ออกไป ยิ่งช่วงนี้แล้วเงินมันลง เขาก็อาจจะไม่คุ้ม เลยอพยพกลับ อย่างชาวโปแลนด์ โรมาเนีย เขาค่อนข้างจะขาดแคลนเลยทีเดียว
จริงๆก็บอกเพื่อนทุกคนเลยนะ ว่าถ้าขับได้ กล้าขับ มาขับนะ เพราะว่าโอกาสตกงานน้อยมาก เขาต้องการตลอด เขาโทร.หาเราทุกวัน ทำงานเพิ่มได้ไหม
อยากให้มามากเลย อยากให้มาขับเป็นเพื่อนกัน เพราะถ้าเราได้นั่งจริงๆแล้ว ได้จับพวงมาลัยได้ขับ เรารู้เทคนิค ว่าจะขับยังไง รถเมล์จะขับง่ายกว่ารถส่วนตัวด้วยซ้ำ เพราะเรานั่งค่อนข้างสูง สามารถมองเห็นหมดเลยว่า ข้างซ้าย เป็นรถอะไรมา ข้างขวามีรถอะไรมา แล้วข้างหน้ามันมองเห็นชัดมาก ขับง่ายกว่าขับรถธรรมดาด้วยซ้ำ
ขอแค่มั่นใจ และคิดว่าตัวเองไม่กลัวกฎจราจร ไม่กลัวสถานการณ์บนรถ หนูว่าทำได้ ทำได้ทุกคน แค่มั่นใจ สายตาดี มือเร็ว เท้าเร็ว เราต้องมั่นใจก่อนว่า ร่างกายเราพร้อมจริงๆ มันต้องใช้ทุกส่วนจริงๆ ตาต้องมอง มือต้องไว ขาต้องไว ร่างกายต้องพร้อม ไม่เป็นโรคลมชัก หรือโรคหัวใจ
และต้องมีใจรักบริการ เพราะทุกคนข้นมาเราต้องเซย์ ไฮ กับผู้โดยสาร ยิ้มให้เขา บางคนเขาแทบจะไม่มองหน้าเราด้วยซ้ำแต่เราก็ยิ้มให้ทุกวัน เวลาลงก็บ้ายบาย มันมีสองประตู ถ้ารถยาวก็สามประตู แล้วแต่คนลงประตูไหน ถ้าลงประตูหน้าเราก็ทักทาย
ไม่หยุดพัฒนา เป้าหมายใหม่! ขับรถไฟฟ้า
ไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ เราต้องรู้คุณค่าของตัวเองอยู่ตรงไหน เราสามารถจะแบ่งเบาภาระ จริงๆแฟนหนูก็เปิดบริษัทสอนขับรถ ก็บอกว่า ถ้าหนูไม่ทำก็ได้ แต่เราไม่ชอบนั่งอยู่เฉยๆที่บ้านโดยที่ไม่ทำอะไรเลย หนูคิดว่าสามารถทำอะไรอย่างอื่นได้อีก ก็เลยพยายามจะหานู่นหานี่ทำตอนนี้ก็พยายามจะส่งเอกสารไปเรียนขับรถไฟฟ้า ตอนนี้กำลังส่งเอกสารเข้าไป กำลังรอตอบกลับมา เพื่อจะสอบสัมภาษณ์
อยากทำนู่นทำนี่ไปเรื่อย อยากเรียนรู้หลายๆอย่าง อีกอย่าง รู้หลายอย่างเราก็ทำได้หลายอย่าง หนูมาทางนี้เพราะว่าแฟนเราทำงานสอนขับรถด้วย จะเข้าหูเราตลอดเวลาถ้าขับจากตรงนี้ แล้วเพิ่มไปตรงนี้ดีมั้ย จริงๆแฟนหนูอยากจะให้มาเรียนเป็นครูสอนขับรถด้วยซ้ำ เพราะเรามีบริษัทเป็นของตนเอง แต่หนูกลัวว่า พูดแล้วเด็กนักเรียนจะไม่เข้าใจ เพราะภาษาค่อนข้างสำคัญ ตอนที่หนูเรียนกับคนเดนมาร์ก หนูก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเขาเลย ก็เลยค่อนข้างกลัว เลยคิดว่าถ้าเราทำงาน เราขับเอง เป็นคนบริการเขา น่าจะดีกว่า ก็ไม่ต้องสนทนาเยอะ ถ้าเขาถาม เราตอบได้
เพื่อนบอกหลายคนเลย ว่าแตงจะทำได้เหรอ ทำไมไปขับรถล่ะ ทำไมไม่ทำงานร้านเสื้อผ้า ร้านเครื่องสำอาง น่าจะเหมาะกว่า แต่หนูมองว่า มันไม่ได้จำกัดตรงนั้นเลย ถ้าเราใจรัก เราตั้งใจจริง มันไม่ได้เกี่ยวเลย เราจะหน้าตายังไง หรือบุคลิกเรายังไง แต่ใจรัก ทำได้ทุกคน
ที่ชอบขับรถเพราะรู้สึกว่า เวลามันผ่านไปเร็ว เราชอบที่ทำงานคนเดียว มีความรับผิดชอบคนเดียว โดยที่เราไม่เอาความผิดคนอื่นมาใส่เรา หรือเราเอาความผิดของเราไปใส่คนอื่น เรารู้ว่าเส้นทางนี้ เราไปยังไง เรารู้มาแล้วว่าแต่ละวัน ทำยังไง ชอบที่เราได้ทำคนเดียว ตัดสินใจคนเดียว ไม่ต้องกดดันกับเพื่อนร่วมงาน เราได้คำสั่งมาก็ทำตามเขาไปอย่างนี้ ชอบแบบนั้น
เวลาขับรถ เรารู้สึกว่าเรามีคุณค่ามากนะ เราต้องรับผิดชอบคนหลายสิบชีวิตอยู่บนรถของเรา รู้สึกเหมือนเป็นฮีโร่ ทั้งบนรถเรา และรถที่สวนมา
บางทีคนนั่งรถเข็นมาขึ้นรถ เราต้องจอดรถแล้วต้องออกจากพวงมาลัย แล้วก็ไปเปิดตัวเชื่อมให้ เหมือนสะพานเชื่อมจากฟุตปาธมาบนรถ เราก็เข็นเขาขึ้นรถมา แล้วก็มาล็อกเอาไว้ แล้วถึงจะปิดประตู แล้วขับต่อได้ เราต้องช่วยเขานะ มันเป็นความรับผิดชอบของคนขับรถ คือเราก็จอดรถ แล้วไปเข็นเขาขึ้นมา ตอนขาลงเราก็ไปเอาเข้าลงเหมือนเดิม บางทีเส้นทางไหนที่เจอผู้โดยสารที่นิสัยดี เขาก็จะช่วยเรา บอกเธอไม่ต้องลงนะ เดี๋ยวฉันช่วยเขาเข็นขึ้นมาเอง
อาชีพนี้เป็นอาชีพที่เรารักมาก และภูมิใจมาก ที่ได้ทำอาชีพนี้ รู้สึกว่าตัวเองมีค่า เวลาเรานั่งหลังพวงมาลัยขับรถแล้วทุกคนเขาจะ respect เรา เหมือนเขาเชื่อใจเรา ว่าเราสามารถพาเขาไปถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ
มีอยู่ครั้งหนึ่งบนรถมีเด็กเยอะๆ เราบอกอย่าเสียงดังนะ เขาก็จะเชื่อฟังเรา เขาก็จะเคารพเรา บอกว่าเสียงดังไม่ได้ ทำให้เราไม่มีสมาธิในการขับรถเขาก็หยุด คนที่นี่นิสัยดี แต่สิ่งที่ได้จากอาชีพนี้คือ ความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีมากขึ้น โดยทั้งตัวเราเอง และผู้โดยสาร
ถ้าคนไหนกำลังตกงานช่วงนี้ อยากให้นึกถึงอาชีพขับรถบัส เพราะว่าถ้าคุณทำได้ ไม่มีทางที่จะตกงานเลย มองไม่เห็นว่าจะตกงานเลย เพราะเขาต้องการคนเยอะมาก และจะเยอะมากขึ้น เพราะช่วงนี้เขากำลังรณรงค์ให้คนใช้รถสาธารณะมากกว่ารถส่วนตัว ฉะนั้นถ้ามีใจรักบริการ มีความมั่นใจในตัวเอง สุขภาพพร้อม อยากให้คนไทยที่รู้สึกท้อ ไม่มีงานทำ หันมาลองเปิดใจ แล้วก็มาลองขับดู นึกถึงอาชีพนี้ เชื่อทุกคนทำได้ เพราะหนูทำได้ ทุกคนก็ต้องทำได้ มันไม่ได้ยากเกินความสามารถ ถ้าเราตั้งใจจริง
>>คลิปจากยูทูบ ช่องวิถีไทย ไกลบ้าน โดย ครูหนู - พิชญา นิลเสน ที่ทำให้แตงโม เป็นที่รู้จัก จนมีผู้ชมทะลุกว่าแสนครั้ง ส่งผลให้ได้รับรางวัล คนเก่งวิถีไทยประจำปี 2019 ของทางสมาคม Thai Norsk Samfunn
ดูโพสต์นี้บน Instagram
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: สวิชญา ชมพูพัชร
คลิป: ศิริกร ชิระกุล
ขอบคุณภาพ: เฟซบุ๊ก “Yu Mi” และยูทูบ “วิถีไทย ไกลบ้าน”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **