กว่า 20 ปี ชื่อเสียงขนมปังตาบอด “ป้านิด” วัย 71 ปีเป็นที่รู้จักย่านบางลำพู แม้สายตาทั้งสองข้างจะบกพร่องแต่กำเนิด แต่ไม่ท้อแท้ในชีวิต “ขายล็อตเตอรี่-ขนมปัง” เลี้ยงตัวเอง เคราะห์ร้ายเคยถูกโกงแต่ทำอะไรไม่ได้! เจ้าตัวเปิดใจ ถึงร่างกายไม่สมบูรณ์ แต่ไม่คิดเป็นขอทาน อยากทำทุกอย่างด้วยหยาดเหงื่อตัวเอง!
หาเงินด้วยน้ำแรงตัวเอง..ภูมิใจกว่า!
“สิ่งที่เขาให้เราไปทำนั้น มันเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบในอาชีพที่เขาทำกัน มันง่าย มันเหมือนกับเราไม่ได้ช่วยเหลือตัวเอง เหมือนเราไปขอเขามา โดยที่ว่าไม่มีอะไรไปแลกเปลี่ยน เราเลยไม่อยากทำ”
ถึงแม้จะบกพร่องทางสายตา แต่ไม่เคยคิดแบมือขอเงินจากใคร “ป้านิด - นิตยา ช่วงชู” เปิดใจ ทุกวันนี้ยังคงช่วยเหลือตัวเอง หาเงินเลี้ยงชีพด้วยการเป็นแม่ค้าขายขนมปัง บริเวณหน้าวัดบวรฯ ฝั่งตรงข้ามบางลำพู
ซึ่งป้านิดเล่าย้อนสู่จุดเริ่มต้นให้ฟังว่าตนเติบโตที่ จ.อ่างทอง ก่อนย้ายมาเรียนหนังสือที่โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯ
“ป้าเกิดที่ จ.อยุธยา และไปโตที่ จ.อ่างทอง เพราะพ่อเป็นคนอ่างทอง แม่เลยย้ายไปอยู่กับพ่อที่นั่น ตอนที่ยังเป็นเด็กอายุประมาณ 5-6 ขวบ มีนายตำรวจคนหนึ่งมาบอกว่าอยากไปเรียนหนังสือไหม เราก็ถามเขาว่าที่ไหนมีให้เรียน เพราะเราเป็นคนตาบอด เขาบอกว่าจะมาอยู่แบบไม่มีความรู้ไม่ได้
ป้าก็ถามว่าที่ไหนมีสอน เขาบอกว่าตอบมาก่อนว่าอยากไปหรือไม่อยากไป ป้าเลยบอกเขาว่าอยาก เพราะก่อนหน้านั้นเราเจอพี่ๆ คนอื่นเรียน เราก็อยากจะเรียนบ้าง นายอำเภอที่ จ.อ่างทองติดต่อทางโรงเรียนให้ จึงได้เข้าไปที่โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ แถวสี่แยกตึกชัย
ที่นั่นเป็นโรงเรียนประจำ กินนอนอยู่ที่นั่น ป้าเข้าไปตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เข้าไปแรกๆ ก็รู้สึกเหงานิดหน่อย เราอยู่บ้านมาตลอด เคยอยู่กับแม่ก็ธรรมดาที่เด็กๆ เวลาห่างแม่ก็จะร้องไห้
พวกพี่เลี้ยงก็บอกว่าไม่ต้องร้องเดี๋ยวปิดเทอมแม่ก็มารับกลับ แต่ตอนแรกเขาบอกว่าถ้าเด็กคนไหนเข้ามาแล้วช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาจะส่งกลับ
พอถึงเวลาเขาไม่ส่งป้ากลับบ้านนะ เขาบอกเด็กคนนี้ช่วยเหลือตัวเองได้และความจำดีใช้ได้ ป้าก็เรียนที่นั่นจนจบ มส.3 จากนั้นก็กลับไปอยู่บ้านได้พักหนึ่งมันก็เบื่อ จึงมาอยู่กับเพื่อนแถวราชวัตรที่กรุงเทพฯ เพื่อหาอะไรทำ”
ป้านิดเล่าว่าตนมองไม่เห็นตั้งแต่เกิด ซึ่งที่บ้านมีพี่น้อง แต่หลังจากเติบโตขึ้นก็ต่างคนต่างใช้ชีวิต และแยกย้ายกันไป ปัจจุบันป้านิดใช้ชีวิตเพียงลำพัง โดยเปิดใจว่าไม่อยากเป็นภาระคนอื่น
“ป้าบกพร่องทางสายตาตั้งแต่เกิดเลย ที่บ้านไม่มีใครเป็นนอกจากป้าคนเดียว ป้ามีพี่น้องแต่ตอนนี้ไม่มีใครสนใจเราเลย เพราะพอไม่มีผู้ใหญ่แล้วก็ต่างคนต่างไป ไม่มีใครสนใจกัน ตอนนี้ที่เขาไม่เอาเราไปอยู่ เพราะไม่อยากให้เป็นภาระสำหรับเขา ฉะนั้น เราคิดว่าทำอะไรเองได้ หรือพอจะหาเลี้ยงตัวเองได้ เราก็ควรทำ”
“ถูกหลอก-ถูกโกง” แต่ให้อภัย
“เริ่มทำอาชีพแรกคือขายล็อตเตอรี่ ซึ่งเวลาขายก็ไม่มีที่ขายประจำ ต้องเดินขายไปซอยนั้นซอยนี้ เรียกว่าเหนื่อยและเสี่ยงสารพัดเลย บางทีเขาเรียกว่ามีคนจะซื้อให้เข้าไปซอยนี้ แต่พอเราเข้าไปก็เหมือนว่าจะไม่มีคน เขาก็ทำเหมือนเลือกๆ ล็อตเตอรี่ พอสักพักก็แย่งไปเลย”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ป้านิดถูกหลอกซื้อล็อตเตอรี่ แต่เจอเหตุการณ์ลักษณะนี้อยู่หลายต่อหลายครั้ง จนถึงกับถอดใจเพราะหาเงินทุนมาหมุนไม่ทัน แถมยังต้องรับผิดชอบล็อตเตอรี่ที่เสียไปจากการถูกหลอกอีกด้วย นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ป้านิดมาเป็นแม่ค้าขายขนมปัง
“เราก็ขายจนกว่าไม่มีทุนจะขาย เพราะมันไม่ได้โดนหลอกเพียงครั้งเดียว ป้าโดนบ่อย บางทีขายก็เหลือบ้าง ทุนมันก็เลยไม่ค่อยจะมี อย่างเมื่อก่อนที่ขายใหม่ๆ ป้าขอยืมทุนเขามาขาย พอเกิดอะไรขึ้นเราก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งนั้น ป้าเลยตัดสินใจเลิกขายล็อตเตอรี่เลย
จากนั้นก็ไปอยู่บ้านสักพักหนึ่งแล้วก็เบื่อ เพราะเราเคยออกไปไหน ไปทำอะไรของเรา พอเพื่อนชวนมาอีกก็คิดๆ กันว่าจะทำอะไรดี ป้าเลยว่าขายขนมปังดีกว่า ถึงได้กำไรน้อยนิดหน่อยก็เอา เริ่มจากไปรับที่ร้านมาขาย ตอนนี้ขายได้ประมาณ 20 ปีได้แล้ว
ช่วงแรกวันหนึ่งขายได้น้อย วันละ 40 ปอนด์เอง บางวันก็หมด บางวันไม่หมด แต่ทุกวันนี้เอามาขายต่ำสุด 80 ปอนด์ ขายหมดทุกวัน ต้องหมดให้กลับบ้านก่อนกำหนดที่เราเคยกลับ อย่างเมื่อก่อนกลับบ้าน 1-2 ทุ่ม นั่นคือหมายถึงว่าขายหมด ถ้ายังไม่หมดก็นั่งต่อ แต่เดี๋ยวนี้บ่าย 3-4 โมงก็หมดแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยสายตาที่บกพร่องก็ทำให้การขายขนมปังถูกโกงได้เช่นเดียวกัน เธอเล่าว่ามีลูกคนมาหยิบขนมปังแล้วไม่จ่ายเงิน ซึ่งก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยผ่านไป แถมยังมีอุปสรรคเรื่องฝนตกแดดออกอีกด้วย
“อุปสรรคเรื่องแดดและฝน ถ้าแดดแรงก็ย้ายร่มบังแดดไปเรื่อยๆ ป้าจะไม่อยากให้ขนมปังโดนแดดเยอะ เราร้อนไม่เป็นไร ขนมปังต้องอย่าโดนแดดจัดเพราะเดี๋ยวจะเสีย ส่วนถ้าฝนตกก็จะมีพลาสติกใสมาคลุมปิดขนมปัง ให้คนยังเห็นว่ามีขนมปังนะ ถึงตัวเราเปียกไม่เป็นไร ขนมปังห้ามเปียก
ตอนนี้มีค่าห้อง รวมน้ำ-ไฟ 3,000 กว่าบาท ค่าฝากโต๊ะขายของเดือนละ 1,700 บาท ค่ากิน ค่าซื้อของแยกอีกต่างหาก ถามว่าพอไหวไหมก็ยังพอได้ ตอนนี้ไม่ได้อยากได้อะไร เพราะห้องที่อยู่มันเล็กเกินไป ไม่สามารถจะมีอะไรได้หลายอย่าง อยากได้เพียงให้ลูกค้ามาอุดหนุนเราเยอะๆ”
“อย่าไปคิดว่าเราทำไม่ได้”
“คิดว่าเราเป็นแบบนี้ ยังไงก็ต้องสู้ต่อไป อย่าไปทำให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราไม่มีความสุข หรือเอาเรื่องทุกข์มาให้คนอื่น เขาเห็นบ่อยๆ มันก็ไม่ดี ส่วนเรื่องที่สุขในใจเราที่สุดก็เรื่องที่เราหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง เรามีเงินใช้ด้วยตัวเอง โดยที่ว่าเราไม่ต้องไปพึ่งใคร ไม่ไปขอ ไม่เป็นหนี้เป็นสิน”
ความสุขสะท้อนผ่านสีหน้าและน้ำเสียงของป้านิด หลังจบคำถามว่าอะไรคือความภูมิใจที่เกิดขึ้นในชีวิต นั่นคือ การที่เธอสามารถเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ลำบากคนอื่น ขณะเดียวกันป้านิดก็ยอมรับว่าที่ผ่านมามีช่วงเวลาที่รู้สึกท้อแท้อยู่เหมือนกัน ส่วนใหญ่มาจากคำพูดของคนอื่นที่เข้ามากระทบ
“เคยร้องไห้นะ หลายๆ อย่าง บางทีมันบอกไม่ถูก มันอยู่ในความรู้สึกของเรา อย่างคนเขาก็พูดว่าพี่น้องมี ทำไมไม่ไปอยู่กับญาติ มาทำแบบนี้เพื่อตัวเองทำไม ป้าเลยตอบไปคำเดียวว่าพี่น้องไม่ได้สนใจเรา และเราจะไปอยู่กับเขาเพื่ออะไร เราห่วงความรู้สึกของเขาว่าต้องไปเป็นภาระสำหรับเขา
อย่างจะไปไหนที คนเราถ้ามองไม่เห็นแล้วเปลี่ยนเส้นทางเดิน เราจะยังไม่ค่อยชิน มันจะทำให้เราไปไม่ได้ก็ต้องพึ่งเขา ส่วนใหญ่ก็จะท้อเพราะเรื่องคำพูดคนอื่นมากกว่า
เรื่องเงินไม่พอก็ท้อเหมือนกัน อย่างเราหาค่าห้องไม่พอก็ไปยืมคนก่อน มีคนให้ยืมแต่เขาก็ต้องการใช้ เราก็ต้องรีบคืน เมื่อก่อนป้าขายแค่ 60 ชิ้น ได้ 300 บาท หรือขายวันหนึ่ง 40 ชิ้นได้เงิน 200 บาท มันไม่พอ ไหนจะค่าห้อง ค่ากิน ค่ารถเราไปกลับ อย่างน้อยเราอยากกันทุนไว้ซื้อของก่อน
เวลาเรายืมเงินเขา มันก็ต้องเสียดอกเบี้ย แม้แต่ค่าเช่าห้อง ถ้าเราจ่ายช้าก็ต้องโดนหัก มันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าเราจ่ายช้าไปกี่วันก็โดนหักเงินไป เดี๋ยวนี้ป้าภูมิใจในตัวเองว่าป้าจ่ายได้ไว ไม่ต้องไปบอกให้เขารอก่อนนะค่อยจ่าย”
สุดท้าย ป้านิดได้กล่าวทิ้งท้ายถึงคนที่กำลังรู้สึกหมดกำลังใจในการใช้ชีวิตว่าให้ดูเรื่องราวของเธอเป็นตัวอย่าง ทั้งยังฝากขอบคุณลูกค้าและผู้ที่เคยเข้ามาให้ความช่วยเหลือในชีวิตอีกด้วย
“มีคนหนึ่ง เขาเป็นคนช่วยให้มีที่ขาย เคยพูดขอบคุณเขาแล้ว เขาบอกไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องห่วง ขายไปเลย ป้าก็อยากขอขอบคุณลูกค้าทุกๆ ท่านนะคะที่ให้ความช่วยเหลือ มาอุดหนุนขนมตลอด และขอขอบคุณคนหนึ่งที่เคยช่วยเหลือเราเรื่องเงินเดือน เขาแบ่งเงินเดือนของเขามาให้เราทุกเดือน เป็นเวลา 2 ปีกว่าๆ
ส่วนคนที่มีความทุกข์อยู่ในใจก็ขอให้ดูป้าเป็นตัวอย่างไว้ว่าเราไม่ต้องไปคิดมาก ต้องทำใจให้ได้ ต้องอย่าท้อแท้กับชีวิตของตัวเอง เช่น คุณมีครบ 32 ประการ คุณก็ควรจะต้องทำใจให้ได้ อย่าไปคิดสั้นๆ ว่าเราทำไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องไปหาทางทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้ตัวเราอยู่รอด”
สำหรับผู้ที่สนใจซื้อขนมปังป้านิดสามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 080 - 779 - 7517 (ป้านิด) โดยขายทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ บริเวณริมรั้ววัดบวรฯ ฝั่งตรงข้ามบางลำพู
สัมภาษณ์ รายการ “พระอาทิตย์ Live”
เรียบเรียง MGR Live
เรื่อง พิมพรรณ มีชัยศรี
ขอบคุณภาพ FB : I AM EAT กินเที่ยวเปรี้ยวซ่าส์
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **