“หนูอยากให้ยายหาย หนูจะอดทนให้มากที่สุด ถึงแม้หนูอาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน” เปิดเรื่องราวชีวิต “น้องโอปอ” สาวน้อยวัย 10 ขวบป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว ยอดกตัญญู ดูแลยายป่วยหลายโรครุมเร้า เป็นอัมพฤกษ์ติดเตียง ด้วยความหวังว่าสักวันยายผู้เป็นที่รักจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง...
“หนูจะอดทนให้มากที่สุด”
"หนูรู้ว่าตอนนี้หนูเป็นอะไร มันเจ็บปวด ทรมานมาก หนูไม่รู้ว่าหนูจะอยู่ได้อีกนานขนาดไหน หนูยังพอมีความหวังที่จะหาย”
น้ำเสียงเล็กๆ แต่แฝงไปด้วยความหวังของ “น้องโอปอ - วิศรุตรา เหมือนจีน” เด็กหญิงวัย10 ขวบ ที่กำลังถูกโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเล่นงาน เธออาศัยอยู่ในบ้านไม้เก่าๆ หลังหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่บนคลองน้ำครำ ในซอยแบริ่ง 48 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ พร้อมครอบครัวที่ประกอบไปด้วย คุณตา คุณยาย และพี่น้องของเธอรวมเป็น 4 ชีวิต
แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลกกับครอบครัวนี้ เพราะนอกจากสาวน้อยที่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายแล้ว คุณยายของเธอถูกหลายโรครุมเร้าและกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ส่วนคุณตาผู้เป็นเสาหลักในการหาเลี้ยงทุกปากท้อง ก็ป่วยเป็นโรคไขมัน ความดัน ข้อเท้าพิการผิดรูป
ผลข้างเคียงจากการรับเคมีบำบัด ทำให้น้องโอปอผมร่วงทั้งศีรษะ ร่างกายซูบผอม รวมถึงมีแผลเป็นขนาดใหญ่ที่เท้า ที่ได้มาจากการฉีดน้ำเกลือไม่เข้าเส้นด้วย
และแม้ตัวน้องโอปอเองจะป่วยหนัก แต่ยังพยายามช่วยดูแลคุณยาย เพื่อแบ่งเบาภาระของคุณตาเท่าที่ตนเองจะสามารถทำได้ ด้วยหวังจะอยากให้ยายดีขึ้นและกลับมาเดินได้อีกครั้ง
"หนูต้องไม่เป็นอะไร หนูอยากให้ยายหาย" น้องโอปอ กล่าว
“หนูเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว แต่ไม่กลัวเพราะหมอบอกว่ามันไม่มีระยะ มันอาจจะมีสิทธิหาย หมอก็บอกแค่นี้ มันเคยหายไปแล้วก็กลับมาเป็นใหม่เพราะว่าเป็นไข้เลือดออก พอไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าเป็นไข้เลือดออก แต่หายแล้ว และไม่สบาย ก็เลยไปโรงพยาบาลเด็ก หมอบอกว่ามันกลับมาเป็นใหม่
ถ้าฉีดยานอนหลับหนูจะไม่หลับ จะโวยวาย ไม่รู้เป็นเพราะยาหรืออะไร แม่ก็เลยไม่ให้ฉีด แต่ให้ทายาชาที่หลังแทน มันเจ็บแต่ยายบอกว่าต้องอดทน ไม่งั้นไม่หาย เจ็บจนร้องไห้ กรี๊ดลั่นโรงพยาบาล มันเจ็บเหมือนมีอะไรมาทิ่มหลัง”
แผลเป็นจากการฉีดน้ำเกลือไม่เข้าเส้น ยังคงเหลือไว้ให้ดูต่างหน้า
ผมหนูร่วง แต่ตอนนี้ไม่ร่วงแล้วเพราะหมอบอกว่า มันเป็นยาเบา อีก 2 เดือนผมจะขึ้น ส่วนแผลที่ขา หมอให้น้ำเกลือไม่เข้าเส้นแล้วมันก็บวม ตอนประมาณยังไม่ขวบ แล้วหนูเป็นเด็กก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้มันไม่เจ็บแล้ว”
โดยกิจวัตรประจำวันของเด็กหญิงผู้นี้จะตื่นแต่เช้าเพื่อหาข้าว-หายา เปลี่ยนแพมเพิร์สให้คุณยาย จากนั้นจึงไปโรงเรียน ในระหว่างวันจะมีคุณตาสับเปลี่ยนมาดูแล เมื่อเลิกเรียนน้องโอปอก็จะมารับช่วงต่อ เป็นแบบนี้ทุกวัน จึงกลายเป็นว่า คนป่วยต้องคอยช่วยกันดูแลคนป่วย ส่วนผู้เป็นแม่นั้นไม่ได้พักอยู่ด้วยกัน เพราะทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ร้านโลงศพ แต่จะแวะเวียนมาหาอยู่เสมอ
“ดูแลยายหนูไม่เหนื่อย ต้องทำเพราะยายจะได้หาย ยายเคยบอกว่ายายสันหลังทับเส้นประสาทแล้วก็เดินไม่ได้ ตาก็มองไม่เห็น ยายบอกแค่นี้ หนูสงสารยาย
อยากให้มีคนมาช่วยยาย พายายไปรักษา อยากให้ยายเดินได้ หนูต้องอดทน หนูต้องไม่เป็นอะไร หนูอยากให้ยายหาย หนูจะอดทนให้มากที่สุด ถึงแม้หนูอาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน..."
หลายโรครุมเร้า อัมพฤกษ์-ลมชัก-พุ่มพวง!!
อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ผู้ป่วยในบ้านหลังนี้ไม่เพียงแค่น้องโอปอเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ยังมี ธงชัย พุทธบุตร วัย 59 ปี และ นพวรรณ สอนเครือ วัย 50 ปี คุณตาและคุณยายของเธอก็ถูกเล่นงานด้วยหลายโรคอีกด้วย โดยเฉพาะคุณยายที่ป่วยหนักจนมีสภาพเป็นผู้ป่วยติดเตียง เป็นอัมพฤกษ์ ไม่สามารถขยับร่างกายช่วงล่างได้
แต่ก่อนจะอยู่ในสภาพติดเตียงเช่นทุกวันนี้ คุณยายนพวรรณ สามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้เหมือนคนอื่นทั่วไป โดยเคยทำงานเป็นแม่บ้านย่านสาธร
เมื่อรายรับไม่เพียงพอกับรายจ่าย และหวังจะหารายได้หาเลี้ยงครอบครัวให้ดีขึ้น ยายของน้องโอปอตัดสินใจยอมลำบาก เดินทางไปทำงานไกลบ้านถึง จ.ภูเก็ต
“ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่สาทร ไม่ลำบากอะไร มาพลิกตอนออกจากบริษัท ที่นี่มันรายได้น้อย แล้วก็ไปทำงานที่ภูเก็ต ไปคนเดียว ที่โน่นมันอาศัยได้ทิปเขา ทำงานกับบริษัทฝรั่ง”
ทว่า...ชีวิตคนเราไม่แน่นอน เพราะจากวันหนึ่งคนที่เคยแข็งแรง แต่อีกวันกลับล้มป่วยอย่างกะทันหัน โดยเริ่มจากตาข้างซ้ายที่ค่อยๆ มองไม่เห็น จึงจำเป็นต้องเข้ามารักษาตัวที่กรุงเทพมหานคร ด้วยเพราะสู้ค่ารักษาที่ภูเก็ตไม่ไหว
“มันเป็นที่ตาก่อน วันแรกคล้ายๆ มีอะไรมาขวางตาต่อมามันหนักขึ้น จนถึงวันที่ 7 มองไม่เห็นเลย พอมันมืดก็กลับมาหาหมอที่นี่ เพราะว่าที่นู่นที่รักษามันแพง
มันก็ดีขึ้น รักษาดีขึ้นแล้ว แต่พอจะกลับไปทำงาน ทางโน้นเขาไม่เอาเราแล้ว เขาให้เราออกงานเลย ก็ไม่รู้เหมือนกัน คงเพราะเรามาหาหมอ ก็คิดว่าเดี๋ยวคงหางานในกรุงเทพฯ ทำได้ เพราะงานแม่บ้านทำที่ไหนก็ได้ อีกอย่างเราก็ค้าขายเป็น
ตอนนั้นเป็นตุ่มขึ้นหัวไหล่ ไปหาหมอหมอบอกว่าเป็นงูสวัด ปัจจุบันเป็นไขกระดูกทับเส้นประสาท แล้วก็เป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรง แต่รักษาก็เดินได้ ก็มาเลี้ยงหลาน ส่งหลานไปโรงเรียนตามปกติ
พอกลางปี 59 เหมือนเราปัสสาวะไม่ออก ไปหาหมอหมอบอกว่าติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เราก็ถามหมอว่า รักษาไม่หายเหรอคะ หมอก็ตวาดเรามาว่า ไม่หายหรอก สุดท้ายมันก็ไม่หาย พอรักษามาก็บอกเราเป็นโรคลมชัก ให้ยาโรคลมชักมากินอีก แล้วระบุว่าเป็นโรคพุ่มพวง ณ ตอนนี้”
จากอาการป่วยกะทันหัน ทำให้คุณยายนพวรรณ ต้องรักษาตัวจากหลายโรคที่เกิดขึ้น ทั้งงูสวัด ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ลมชัก และโรคพุ่มพวง อีกทั้งยังเป็นอัมพฤกษ์ กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง
“หมอระบุอย่างเดียวเป็นไขกระดูกทับเส้นประสาท ต้องทำกายภาพเท้า ทำช่วงเช้า 40-50 ครั้งต่อรอบ มันจะไม่ค่อยปวดเท่าไหร่ถ้าทำทุกวัน”
ท้อกับชีวิตจนเคยคิดสั้น!!
“หมดทุกอย่างชีวิตที่ฝันไว้ เป็นแบบที่เห็น”
ทั้งอาการเจ็บป่วยที่รุมเร้าจนไม่สามารถทำงานได้ ส่งผลให้ขาดรายได้ตามมา ส่วนอาการป่วยก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ความเครียดได้คืบคลานมาสู่คุณยายนพวรรณ เรือชีวิตลำนี้คงไปไม่ถึงฝั่ง ทุกวันมีแต่จมลง ทำให้เธอท้อจนไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป…
“เคยทำหลายครั้งแล้ว (ร้องไห้) สงสารครอบครัว มันเครียด อยู่ไปก็เป็นภาระเขา ภาระลูกด้วย ภาระสามีด้วย ถ้ามันนั่งได้ก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นภาระ
เราไม่อยู่มันจะได้สบายเขา จะไปทำงานที่ไหนเราจะได้ไม่เป็นตัวถ่วง ท้อมาก ท้อเหมือนคนจิตตก บางครั้งมีคนให้กำลังใจเราก็อยากจะสู้ แต่พอเห็นครอบครัวแล้วมันก็ท้อลงอีก
เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ดูๆ มาคนอื่นยังช่วยเหลือตัวเองได้ เราก็อิจฉาเขานะ เขาเป็นแบบเรานี่แหละแต่ยังช่วยเหลือตัวเองได้ นั่งได้ นี่เรานั่งไม่ได้ พลิกตัวเองไม่ได้ ถ้านั่งได้ประคองตัวเองได้ก็ดีใจ
ส่วนหลานเวลาไปหาหมอให้คีโม น้องก็จะผอม เขาบอกว่ามันปวด ต้องเจาะเลือด เจาะไขสันหลัง ถ้าเกล็ดเลือดไม่ดีเขาก็ให้เลือด ให้น้ำเกลือ ต้องนอนโรงพยาบาล ไปนอนทีก็ครึ่งเดือน นี่น้อยนะครึ่งเดือน บางทีเป็นเดือน เพราะว่าถ้าอาการไม่ดีต้องนอนนาน”
จะอยู่ด้วยกันไปจนกว่าจะตายจากกัน
ด้าน คุณตาธงชัย ผู้เป็นสามี ปัจจุบันถือเป็นเสาหลักในการหาเลี้ยงครอบครัวทั้ง 4 ชีวิต ยอมรับว่า ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะต้องรับภาระหนักมากขึ้น และมีหลายโรครุมเร้าไม่ต่างกัน ทั้งความดัน ไขมัน ปวดหัวเข่า ข้อเท้าผิดรูปทั้ง 2 ข้าง จากการอุ้มภรรยาไปอาบน้ำในทุกวัน
“ไม่มีใครดูแฟน ผมก็ต้องออกหารับจ้างข้างบ้านที่พอดูและเขาได้ ไปไหนไกลไม่ได้ ช่วงนี้ไม่มีเงินเขาไม่ค่อยจ้าง หางานยากหน่อยห่วงทางบ้าน แฟนก็ต้องมีค่ารถไปขึ้นรถแท็กซี่ไปหาหมอกายภาพทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละครั้ง
สามารถส่งความช่วยเหลือให้ครอบครัวน้องโอปอ ได้ตามเลขบัญชีนี้
เงินก็พาหลานไปรักษาตัวไปโรงพยาบาลก็มากอยู่ ไปโรงพยาบาลราชวิถี ก็ต้องหายืมเขามั่งอะไรมั่ง รับจ้างมั่ง ได้มั่งไม่ได้มั่ง ต้องดูแลกันไป รักษากันไป ทำยังไงได้ เราอยู่ด้วยกันมาแล้วต้องรักษาไป ก็อาจจะให้เขาหาย ตอนนี้ยิ่งอยากให้หาย ให้ช่วยเหลือตัวเองได้ก็โอเค ไม่ทิ้งกัน ยังไงก็ไม่ทิ้ง รักกันก็ต้องอยู่อย่างนี้”
ส่วนคุณยายของน้องโอปอก็กล่าวว่า “ได้กำลังใจจากทุกๆ คน ลูก หลาน สามี คบกันมาก็นานเหมือนกัน อยู่กันมา 30 กว่าปีแล้ว ก็ดีใจที่เขาไม่ทิ้งเรา เคยสัญญาตั้งแต่ชอบกันใหม่ๆ ว่าจะอยู่ด้วยกันไปจนกว่าจะตายจากกัน
“ถ้ามีคนมาช่วยเหลือ ครอบครัวเราก็ขอขอบคุณมากๆ ที่ยังไม่ลืมพวกเราที่ฐานะแบบนี้ ไม่รังเกียจคนจน”
ชีวิตของคนเราควรอยู่ด้วยเป้าหมายหรือความหวัง? นี่อาจเป็นคำถามให้หลายคนขบคิดว่าจะเลือกคำตอบไหน
แต่สำหรับครอบครัวนี้ พวกเขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ด้วนความหวัง ท่ามกลางความมืดมิดของโอกาส แต่พวกเขายังไม่หมดหวัง ด้วยการพยายามต่อสู้กับอุปสรรคที่เผชิญ และอยู่เป็นกำลังใจให้กันในทุกๆ ของชีวิตวันที่เหลืออยู่...
สัมภาษณ์ : รายการ “ฅนจริง ใจไม่ท้อ”
เรียบเรียง : MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ขอบคุณภาพและข้อมูล : เฟซบุ๊ก Poramet Misomphop (เมศ เจ้าชายน้อย)
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **